ประธาน ส.อ.ท.ชี้ ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่งผลดี ฟื้นความเชื่อมั่น การลงทุน-การท่องเที่ยว ระบุ ภาคเอกชนจับตา-คาดหวังผู้นำคนใหม่ ชี้ 3 ส.นั่งเก้าอี้นายกฯ การเมืองคงไม่จบโดยง่าย
วันนี้ (14 ก.ย.) นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นั้น เป็นเรื่องดีที่ภาคเอกชนและนักลงทุนเรียกร้องมาโดยตลอด และเป็นสัญญาณที่ดีที่บ่งบอกถึงความปลอดภัย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศ โดยเชื่อว่า จะสามารถเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้ เพราะที่ผ่านมามีความเป็นห่วงเรื่องของการท่องเที่ยว การเข้ามาเที่ยวชมโรงงานของนักลงทุน
นายสันติ เชื่อว่า การประกาศยกเลิก พ.ร.ก.เช้าวันนี้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รักษาการนายกรัฐมนตรี คงพิจารณาความเหมาะสมแล้ว และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ก็ได้ส่งสัญญาณว่าควรยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว ซึ่งการยกเลิกในวันนี้จะช่วยให้หลายฝ่ายสบายใจ ในส่วนของ ส.อ.ท.จะให้ทางสมาชิกแจ้งไปยังลูกค้าและพันธมิตรในต่างประเทศ ทราบว่า ประเทศไทยได้มีการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้ว
ทั้งนี้ นายสันติ เห็นว่า การตอบรับกลับมาคงไม่เห็นภาพนั้นในทันที คงค่อยเป็นค่อยไป ครึ่งเดือนถึง 1 เดือนถึงจะฟื้นกลับมาเหมือนเดิม ส่วนหุ้นก็คาดว่าจะตอบรับกับการยกเลิกประกาศดังกล่าว และการท่องเที่ยวก็ใกล้ช่วงที่เป็นฤดูการท่องเที่ยวในเดือน พ.ย.-ธ.ค.ซึ่งคงมีคนกลับมาจองทัวร์กันมากขึ้น ทั้งนี้ อยากให้ทูตพาณิชย์เร่งอธิบายกับต่างชาติ และการท่องเที่ยวเร่งชักชวนกลับมาเที่ยวไทย
ประธาน ส.อ.ท.กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาคเอกชนกำลังเฝ้าติดตามตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งเชื่อว่า ความรู้สึกจะดีขึ้น และคงเกิดการพูดคุยและมีการประนีประนอมกัน
ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรีจะเป็นบุคคลที่มาจากพรรคพลังประชาชน (พปช.) นั้น รัฐบาลก็คงสามารถทำได้ แต่ประเด็นการเจรจากับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อาจไม่ได้ข้อยุติ เพราะเชื่อว่า ฝ่ายพันธมิตรฯ จะไม่ยอมรับนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรค พปช.แน่นอน และการชุมนุมก็ยังคงมีอยู่ต่อไป แต่เป็นการชุมนุมอย่างสงบ
นายดุสิต นันทะนาคร รองกรรมการประธานหอการค้าไทย กล่าวถึงการจะคัดเลือกผู้ที่มีความเหมาะสมเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยปรากฏชื่อ 3 ส.ที่มาจากพรรค พปช.นั้น ในส่วนของภาคเอกชนมองว่า คนไหนก็ได้ แต่ผู้ที่จะเข้ามาต้องบริหาร ประนีประนอมความแตกแยกให้น้อยลง และกลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว เพื่อจะได้เริ่มต้นกันใหม่
โดยในส่วนของเอกชน อยากได้ นายกรัฐมนตรี ที่มีความรู้ความสามารถ เพื่อดึงความเชื่อมั่น และเข้ามาดูแลความแตกแยกทางความคิด และอยากเรียกร้องทุกฝ่ายให้หันหน้ามาเจรจากัน เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้
ด้าน นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งข้าวออกไทย ระบุว่า ตนเองได้หารือกับสมาชิกในภาคเอกชนสามารถยอมรับ 3 ส.ได้ โดยเฉพาะ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นบุคคลที่ประนีประนอม น่าจะแก้ไขปัญหาความแตกแยกทางความคิดได้ แต่ข้อเสียเป็นคนใกล้ชิดอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะทำให่กลุ่มพันธมิตรฯ ไม่สามารถตกลงได้ และยังมองว่า แม้ภาพรวม 3 ส.จะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองจนถึงสิ้นปีนี้ คงจะไม่จบง่ายๆ
ดังนั้น ทางออกดีที่สุด คือ รัฐบาลต้องประกาศยุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชน และมีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินว่า เขาจะเลือกใครเข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นใคร ก็อยากให้ทุกฝ่ายคิดถึงประเทศชาติ เพราะหากทุกอย่างไม่ชัดเจน เศรษฐกิจไทยก็จะมีปัญหาตามมามากมาย สุดท้ายคนไทยก็ต้องได้รับบาดเจ็บทุกคน
ด้านแหล่งข่าวจากวงการค้าการลงทุน ยังตั้งข้อสังกตุว่า ตอนนี้รัฐบาลรักษาการพยายามจะฉวยโอกาสเรียกความชอบธรรมกลับคืนมาจากพันธมิตรฯ โดยสร้างภาพใหม่ใสซื่อขาวสะอาดให้กับแคนดิเคตนายกคนใหม่ ขณะเดียวกันก็ใช้อำนาจ พรรคพวก และสื่อในมือ เร่งผลักดันให้ 3 ส. เป็นนายกรัฐมนตรีโดยเร็ว โดยพร้อมที่จะเจรจาแลกได้ทุกเงื่อนไขกับทุกกลุ่ม เพื่อผ่าทางตันของพรรคในช่วงขาลง และกระแสที่กำลังสู่การเสื่อมถอย
ทั้งนี้ รายชื่อของ 3 ส.ที่เป็นตัวเต็งในการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป และเป็นแกนนำในพรรคพลังประชาชน (พปช.) ได้แก่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รักษาการนายกรัฐมนตรี่ และรองหัวหน้าพรรค, นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.คลัง และเลขาธิการพรรค และ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.ยุติธรรม และ รองหัวหน้าพรรค