รัฐไฟเขียวควักกระเป๋าสร้างศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จ.เชียงใหม่ พร้อมเฟ้นเอกชนรับบริหาร ระบุขณะนี้งบก่อสร้างบานไปแตะที่ 2,300 ล้านบาท เพิ่มจากแผนเดิมไปแล้ว 500 ล้านบาท คาด ต.ค.นี้ได้กฤษ์เซ็นสัญญาว่าจ้าง สิ้นปีลงเสาเข็ม
วานนี้(25ก.ค.51) ในการประชุมศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จ.เชียงใหม่ นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะประธานการประชุม เปิดเผยว่า ได้ร่วมหารือถึงแนวทางการทำงาน เพื่อรับฟังความคิด และปัญหาอุปสรรคในการทำงานของ คณะกรรมการ 3 ชุด เพื่อเดินหน้าโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จ.เชียงใหม่ ได้แก่ 1.คณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขตของงาน (Terms of Reference :TOR) และร้างเอกสารประกวดราคาจ้างงานก่อสร้าง 2.คณะกรรมการกำหนดราคากลางจ้างงานก่อสร้าง และ 3.คณะกรรมการประกวดราคาจ้างงาน
ทั้งนี้ภาครัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นตรงกันว่า เพื่อให้เกิดความรวดเร็วของโครงการนี้รัฐบาลจะเป็นผู้ลงทุนก่อสร้างศูนย์ประชุมฯดังกล่าวเองทั้งหมด แล้วเปิดให้เอกชนที่สนใจเข้ามาบริหารจัดการ ซึ่งล่าสุดจากการขออนุมัติแบบรูปและราคา พร้อมแต่งตั้งคณะกรรมการทั้งหมดดังกล่าวข้างต้น คาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนก่อสร้างทั้งสิ้นประมาณ 2,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 500 ล้านบาท จากแผนเดิมที่คาดว่าจะใช้งบ 1,800 ล้านบาท โดยราคานี้ไม่รวมค่าตกแต่งภายใน คำนวณจากค่าวัสดุก่อสร้าง ณ วันที่ 30 พ.ค.51 ดังนั้นเมื่อถึงเวลาก่อสร้างจริง ราคาก็จะปรับขึ้นอีกบ้างตามต้นทุนวัสดุ
นายวีระศักดิ์ กล่าวว่า ขั้นตอนจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดหาผู้รับเหมาด้วยวิธีการทางอิเล็คทรอกนิกส์ หรือ อีอ๊อกชั่น และลงมือก่อสร้างได้ทันภายในปีปฏิทินนี้แน่นอน โดยภายในเดือนตุลาคมน่าจะได้เซ็นสัญญาว่าจ้าง ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 2 ปีเศษ โดยระหว่างการก่อสร้าง ทางกระทรวงฯและคณะกรรมการที่ติดตามงาน ก็จะประกาศหาเอกชนที่สนใจจะเข้ามาบริหารศูนย์ประชุมฯนี้ เพื่อจะได้เริ่มงานได้ทันทีเมื่อสร้างเสร็จ โดยขณะนี้มีงบก่อสร้างที่ยังเหลืออยู่พร้อมจ่ายได้ทันทีคือ 252 ล้านบาท และเตรียมตั้งของบในปี 52 ต่อเนื่องอีก
อย่างไรก็ตาม จากผลกระศึกษาพบว่า เชียงใหม่ มีความต้องการศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ เพื่อ รองรับตลาดไมซ์ จากประเทศจีนและอินเดีย และกระจายความแออัดจากกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีตัวเลขระบุว่า ต่อปี ประเทศสิงคโปร์ มีการจัดประชุมและนิทรรศการจากนานาชาติถึง 4 พันครั้ง ดังนั้นประเทศไทยซึ่งพื้นที่ใหญ่กว่า แหล่งท่องเที่ยวก็หลากหลาย หากเรามีความพร้อมเรื่องสถานที จะสามารถรองรับตลาดนี้ได้มากกว่าสิงคโปร์แน่นอน
วานนี้(25ก.ค.51) ในการประชุมศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จ.เชียงใหม่ นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะประธานการประชุม เปิดเผยว่า ได้ร่วมหารือถึงแนวทางการทำงาน เพื่อรับฟังความคิด และปัญหาอุปสรรคในการทำงานของ คณะกรรมการ 3 ชุด เพื่อเดินหน้าโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จ.เชียงใหม่ ได้แก่ 1.คณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขตของงาน (Terms of Reference :TOR) และร้างเอกสารประกวดราคาจ้างงานก่อสร้าง 2.คณะกรรมการกำหนดราคากลางจ้างงานก่อสร้าง และ 3.คณะกรรมการประกวดราคาจ้างงาน
ทั้งนี้ภาครัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นตรงกันว่า เพื่อให้เกิดความรวดเร็วของโครงการนี้รัฐบาลจะเป็นผู้ลงทุนก่อสร้างศูนย์ประชุมฯดังกล่าวเองทั้งหมด แล้วเปิดให้เอกชนที่สนใจเข้ามาบริหารจัดการ ซึ่งล่าสุดจากการขออนุมัติแบบรูปและราคา พร้อมแต่งตั้งคณะกรรมการทั้งหมดดังกล่าวข้างต้น คาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนก่อสร้างทั้งสิ้นประมาณ 2,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 500 ล้านบาท จากแผนเดิมที่คาดว่าจะใช้งบ 1,800 ล้านบาท โดยราคานี้ไม่รวมค่าตกแต่งภายใน คำนวณจากค่าวัสดุก่อสร้าง ณ วันที่ 30 พ.ค.51 ดังนั้นเมื่อถึงเวลาก่อสร้างจริง ราคาก็จะปรับขึ้นอีกบ้างตามต้นทุนวัสดุ
นายวีระศักดิ์ กล่าวว่า ขั้นตอนจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดหาผู้รับเหมาด้วยวิธีการทางอิเล็คทรอกนิกส์ หรือ อีอ๊อกชั่น และลงมือก่อสร้างได้ทันภายในปีปฏิทินนี้แน่นอน โดยภายในเดือนตุลาคมน่าจะได้เซ็นสัญญาว่าจ้าง ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 2 ปีเศษ โดยระหว่างการก่อสร้าง ทางกระทรวงฯและคณะกรรมการที่ติดตามงาน ก็จะประกาศหาเอกชนที่สนใจจะเข้ามาบริหารศูนย์ประชุมฯนี้ เพื่อจะได้เริ่มงานได้ทันทีเมื่อสร้างเสร็จ โดยขณะนี้มีงบก่อสร้างที่ยังเหลืออยู่พร้อมจ่ายได้ทันทีคือ 252 ล้านบาท และเตรียมตั้งของบในปี 52 ต่อเนื่องอีก
อย่างไรก็ตาม จากผลกระศึกษาพบว่า เชียงใหม่ มีความต้องการศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ เพื่อ รองรับตลาดไมซ์ จากประเทศจีนและอินเดีย และกระจายความแออัดจากกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีตัวเลขระบุว่า ต่อปี ประเทศสิงคโปร์ มีการจัดประชุมและนิทรรศการจากนานาชาติถึง 4 พันครั้ง ดังนั้นประเทศไทยซึ่งพื้นที่ใหญ่กว่า แหล่งท่องเที่ยวก็หลากหลาย หากเรามีความพร้อมเรื่องสถานที จะสามารถรองรับตลาดนี้ได้มากกว่าสิงคโปร์แน่นอน