พรบ.การประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ เอื้อธุรกิจเคเบิลทีวีสามารถมีโฆษณาได้ไม่เกิน 6 นาที พบช่องโหว่ทางกฏหมาย สินค้าที่เข้าข่ายสีเทาแห่โฆษณาเพียบ เผยอาจผิดต่อกฏหมายอื่นตามมา
วานนี้(25 ก.ค.) บริษัท มายด์แชร์ และกรุ๊ปเอ็ม ผู้นำทางด้านสื่อโฆษณา ได้จัดงานสัมมนาเกี่ยวกับธุรกิจเคเบิลและแซทเทิลไลท์ ในหัวข้อ "Now& Next in Cable& Satellite" ขึ้น ณ โรงแรมแลนด์มารค์ โดยตลอดการจัดงานตั้งแต่เวลา 9.00-16.00น. ได้เชิญวิทยากรที่คว่ำหวอดอยู่ในวงการสื่อ มาร่วมพูดคุยกับในหลายๆหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเคเบิลทีวี อาทิ นายสเตฟานี่ เบลล์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มายแชร์ และกรุ๊ปเอ็ม, นายกฤษณพร เสริมพาณิช รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์, นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน), นายเกษม อินทร์แก้ว นายกสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย และนางชาลอต โทณวนิก ประธานกรรมการ บริษัท มีเดีย ออฟ มีเดีย จำกัด
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้ขึ้นกล่าวในหัวข้อ ผลกระทบของกฏหมายใหม่ต่ออุตสาหกรรมการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ของธุรกิจเคเบิล และแซ็ทเทิลไลท์ ในประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า มีมาตราหนึ่งในพรบ.การประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 กำหนดไว้ว่า ธุรกิจเคเบิลทีวี สามารถมีโฆษณาได้ไม่เกิน 6 นาทีนั้น ตามกฏหมายแล้ว สามารถทำได้ทันที ซึ่งแปลว่าในทางปฏิบัติ สามารถลงโฆษณาได้แล้ว แต่มีปัญหาที่ว่า โฆษณาที่ลงไปนั้นควรเป็นโฆษณาในลักษณะใดจึงจะถูกต้อง ซึ่งระเบียบตรงนี้ต้องรอคณะกรรมการ กสทช.เกิดขึ้นมาก่อน เพื่อมาเป็นผู้ออกกฏข้อบังคับต่อไป
ด้านนายกฤษณพร เสริมพาณิช รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ กล่าวเสริมว่า ข้อกฏหมายดังกล่าวนี้ มองว่าเอื้อประโยชน์สำหรับสินค้าบางกลุ่ม ที่ไม่สามารถลงโฆษณาบนฟรีทีวีได้ ซึ่งหลังจากที่พรบ.นี้ออกมา พบว่า สินค้าที่ลงโฆษณาทางเคเบิลทีวีส่วนใหญ่ จะเป็นพวกสินค้าสีเทา เช่น โฆษณาสินค้าเกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศ อย่าง ไวอาก้า หรือ ยาสมุนไพรที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนกับทาง อย. แล้วนำเสนอว่าสามารถรักษามะเร็งได้
ทั้งนี้หากมองตามพรบ.การประกอบกิจการวิทยุฯแล้ว ไม่ถือว่าผิด ดังนั้นจึงกลายเป็นช่องว่างให้สินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานสามารถโฆษณาได้ แต่อย่างไรก็ตามการโฆษณาในลักษณะนี้ อาจจะผิดต่อกฏหมายอื่นๆก็เป็นได้ เช่น กฏหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค
นายเกษม อินทร์แก้ว นายกสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การโฆษณาที่เกิดขึ้นนี้ ส่วนใหญ่จะเกิดในช่องเคเบิลท้องถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่สินค้าที่มาลงโฆษณาก็จะเป็นของทางเจ้าของเคเบิลเองที่หันมาทำธุรกิจเคเบิลเพื่อเอื้อต่อการโฆษณาสินค้า ขณะนี้สมาชิกที่อยู่ในสมาคมฯ เรามีมาตราดูแลระเบียบการโฆษณาไว้อยู่แล้ว เพื่อทำให้ธุรกิจเคเบิลเติบโตได้เต็มที่ ซึ่งหากไม่นับเจ้าเคเบิลท้องถิ่นทำโฆษณาสินค้าเองนั้น ขณะนี้พบว่ามีเอเจนซี่โฆษณาหันมาลงโฆษณาผ่านเคเบิลทีวีอย่างต่อเนื่อง โดยจะเข้ามาติดต่อกับทางเจ้าของคอนเท้นท์มากกว่า เจ้าของเคเบิลทีวี
นายเกษม กล่าวต่อว่า ขณะนี้เคเบิลทีวี(รวมทรู วิชั่นส์ ) มีผู้รับชมกว่า 2.5 ล้านครัวเรือน คิดเป็น 15% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ ซึ่งถือว่าน้อยมาก ทั้งนี้ทางสมาคมฯตั้งเป้าว่าในอีก 2 ปีจะผลักดันให้มีผู้ชมเคเบิลทีวีทั่วประเทศไม่ต่ำกว่า 5 ล้านครัวเรือน หรือไม่เกิน5ปี จะต้องมี 10 ล้านครัวเรือนที่รับชมเคเบิลทีวี ขณะที่เม็ดเงินโฆษณาของธุรกิจเคเบิลทีวี มองว่าในเมืองไทยสูงสุดน่าจะอยู่ที่ 30% ของเม็ดเงินสื่อโฆษณาทางโทรทัศน์อีกด้วย เพราะในต่างประเทศที่เคเบิลทีวีพัฒนาสูงสุดนั้น มียอดการโฆษณาอยู่ที่ประมาณ 37%
วานนี้(25 ก.ค.) บริษัท มายด์แชร์ และกรุ๊ปเอ็ม ผู้นำทางด้านสื่อโฆษณา ได้จัดงานสัมมนาเกี่ยวกับธุรกิจเคเบิลและแซทเทิลไลท์ ในหัวข้อ "Now& Next in Cable& Satellite" ขึ้น ณ โรงแรมแลนด์มารค์ โดยตลอดการจัดงานตั้งแต่เวลา 9.00-16.00น. ได้เชิญวิทยากรที่คว่ำหวอดอยู่ในวงการสื่อ มาร่วมพูดคุยกับในหลายๆหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเคเบิลทีวี อาทิ นายสเตฟานี่ เบลล์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มายแชร์ และกรุ๊ปเอ็ม, นายกฤษณพร เสริมพาณิช รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์, นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน), นายเกษม อินทร์แก้ว นายกสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย และนางชาลอต โทณวนิก ประธานกรรมการ บริษัท มีเดีย ออฟ มีเดีย จำกัด
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้ขึ้นกล่าวในหัวข้อ ผลกระทบของกฏหมายใหม่ต่ออุตสาหกรรมการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ของธุรกิจเคเบิล และแซ็ทเทิลไลท์ ในประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า มีมาตราหนึ่งในพรบ.การประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 กำหนดไว้ว่า ธุรกิจเคเบิลทีวี สามารถมีโฆษณาได้ไม่เกิน 6 นาทีนั้น ตามกฏหมายแล้ว สามารถทำได้ทันที ซึ่งแปลว่าในทางปฏิบัติ สามารถลงโฆษณาได้แล้ว แต่มีปัญหาที่ว่า โฆษณาที่ลงไปนั้นควรเป็นโฆษณาในลักษณะใดจึงจะถูกต้อง ซึ่งระเบียบตรงนี้ต้องรอคณะกรรมการ กสทช.เกิดขึ้นมาก่อน เพื่อมาเป็นผู้ออกกฏข้อบังคับต่อไป
ด้านนายกฤษณพร เสริมพาณิช รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ กล่าวเสริมว่า ข้อกฏหมายดังกล่าวนี้ มองว่าเอื้อประโยชน์สำหรับสินค้าบางกลุ่ม ที่ไม่สามารถลงโฆษณาบนฟรีทีวีได้ ซึ่งหลังจากที่พรบ.นี้ออกมา พบว่า สินค้าที่ลงโฆษณาทางเคเบิลทีวีส่วนใหญ่ จะเป็นพวกสินค้าสีเทา เช่น โฆษณาสินค้าเกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศ อย่าง ไวอาก้า หรือ ยาสมุนไพรที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนกับทาง อย. แล้วนำเสนอว่าสามารถรักษามะเร็งได้
ทั้งนี้หากมองตามพรบ.การประกอบกิจการวิทยุฯแล้ว ไม่ถือว่าผิด ดังนั้นจึงกลายเป็นช่องว่างให้สินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานสามารถโฆษณาได้ แต่อย่างไรก็ตามการโฆษณาในลักษณะนี้ อาจจะผิดต่อกฏหมายอื่นๆก็เป็นได้ เช่น กฏหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค
นายเกษม อินทร์แก้ว นายกสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การโฆษณาที่เกิดขึ้นนี้ ส่วนใหญ่จะเกิดในช่องเคเบิลท้องถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่สินค้าที่มาลงโฆษณาก็จะเป็นของทางเจ้าของเคเบิลเองที่หันมาทำธุรกิจเคเบิลเพื่อเอื้อต่อการโฆษณาสินค้า ขณะนี้สมาชิกที่อยู่ในสมาคมฯ เรามีมาตราดูแลระเบียบการโฆษณาไว้อยู่แล้ว เพื่อทำให้ธุรกิจเคเบิลเติบโตได้เต็มที่ ซึ่งหากไม่นับเจ้าเคเบิลท้องถิ่นทำโฆษณาสินค้าเองนั้น ขณะนี้พบว่ามีเอเจนซี่โฆษณาหันมาลงโฆษณาผ่านเคเบิลทีวีอย่างต่อเนื่อง โดยจะเข้ามาติดต่อกับทางเจ้าของคอนเท้นท์มากกว่า เจ้าของเคเบิลทีวี
นายเกษม กล่าวต่อว่า ขณะนี้เคเบิลทีวี(รวมทรู วิชั่นส์ ) มีผู้รับชมกว่า 2.5 ล้านครัวเรือน คิดเป็น 15% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ ซึ่งถือว่าน้อยมาก ทั้งนี้ทางสมาคมฯตั้งเป้าว่าในอีก 2 ปีจะผลักดันให้มีผู้ชมเคเบิลทีวีทั่วประเทศไม่ต่ำกว่า 5 ล้านครัวเรือน หรือไม่เกิน5ปี จะต้องมี 10 ล้านครัวเรือนที่รับชมเคเบิลทีวี ขณะที่เม็ดเงินโฆษณาของธุรกิจเคเบิลทีวี มองว่าในเมืองไทยสูงสุดน่าจะอยู่ที่ 30% ของเม็ดเงินสื่อโฆษณาทางโทรทัศน์อีกด้วย เพราะในต่างประเทศที่เคเบิลทีวีพัฒนาสูงสุดนั้น มียอดการโฆษณาอยู่ที่ประมาณ 37%
