“วีระศักดิ์” ดิ้นสู้ช่วยเอกชนท่องเที่ยวยุคน้ำมันแพง ส่งแม่บ้านทัพหน้า “ศศิธารา” เจรจาด่วนกับกระทรวงการคลัง ยื่นแนวทางขอลดภาษีให้แก่ผู้ประกอบการและภาษีสินค้า หวังปั้นไทยเป็นเมืองดิวตี้ฟรี ดึงขาชอปมาจับจ่าย พร้อมขานรับคำแนะนำจากภาคเอกชน สั่ง ททท.เดินหน้าดึงชาวจีนตระกูลแซ่ต่างๆ จัดประชุมรวมญาติในไทย เชื่อเพิ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ได้เฉียด 8 หมื่นคน
นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวและช่วยเหลือผู้ประกอบการ ล่าสุด ได้มอบให้ นาวสาวศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ไปหารือกับปลัดกระทรวงการคลัง หารือถึงความเป็นไปได้ในการออกมาตรการทางภาษี โดยมี 2 แนวทางหลัก คือ 1.ลดหย่อนภาษีให้แก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยว และ 2.การลดภาษีให้แก่นักท่องเที่ยวที่เข้ามาชอปปิ้งในประเทศไทย
ทั้งนี้ การลดภาษีให้แก่ผู้ประกอบการ เพื่อแบ่งเบาภาระต้นทุน เพราะเข้าใจดีว่าในสถานการณ์ที่ราคาน้ำมันแพง ทำให้ต้นทุนค่าอาหาร ค่าบริหารจัดการเพิ่มขึ้น แต่ไม่สามารถปรับขึ้นค่าบริการได้ตามต้นทุนที่แท้จริง ดังนั้น การลดหย่อนภาษีตรงนี้จะช่วยประคองธุรกิจให้ภาคเอกชนอยู่ได้ โดยเฉพาะกลุ่ม SME ที่มีทุนไม่มากนัก ขณะที่การลดภาษีให้แก่นักท่องเที่ยว คือ การลดภาษีสินค้าในหมวดหมู่ที่นักท่องเที่ยวชอบที่จะเข้ามาจับจ่าย ซึ่งถือเป็นการจูงใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ชื่นชอบการชอปปิ้ง
“จากข้อมูลของบริษัทบัตรเครดิตวีซ่า พบว่า ในแต่ละปีนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาประเทศไทย นิยมจับจ่ายใช้สอย โดยมีการใช้จ่ายผ่านบัตรวีซ่าจำนวนมาก ดังนั้น หากเรามีการลดภาษีสินค้า จะยิ่งทำให้นักท่องเที่ยวชื่นชอบที่จะเดินทางเข้ามามากขึ้น เห็นได้จากช่วงที่ไทยมีการจัดงานอะเมซิ่งไทยแลนด์แกรนด์เซล นักท่องเที่ยวก็จะเข้ามาเยอะ”
อย่างไรก็ตาม มาตรการลดหย่อนภาษีนี้จะต้องให้เวลาสำหรับการศึกษา เพราะเป็นเรื่องอ่อนไหว ต้องคิดให้รอบคอบว่าจะได้ผลดีมากกว่าผลเสีย ซึ่งกระทรวงฯจะต้องพยายามผลักดันให้คลอดมาตรการนี้โดยเร็วที่สุด
นอกจากนั้น ยังเตรียมให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เร่งประชาสัมพันธ์เชิญชวนคนจีนในตระกูลแซ่ต่างๆ เข้ามาจัดประชุมในประเทศไทย โดยน่าจะเริ่มโครงการได้ภายในเดือนตุลาคมศกนี้ คาดว่า จะเชิญชวนชาวจีนตระกูลแซ่ต่างๆ เข้ามาประชุมรวมญาติในประเทศไทยได้ไม่น้อยกว่า 6-8 หมื่นคน ส่งภาพลักษณ์ตลาดไมซ์ในไทยคึกคักมากขึ้น และชาวจีนที่เข้ามาประชุมนี้ จะมาจากหลากหลายประเทศ เป็นการมารวมญาติพี่น้องในตระกูลเดียวกัน ซึ่งคนกลุ่มนี้ฐานะดีและทำธุรกิจการค้า ซึ่งบางที่ประเทศไทยก็จะได้กลุ่มนักลงทุน
สำหรับตลาดในประเทศ ต้องเร่งประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวระยะใกล้ ไม่เกิน 300 กิโลเมตร จากกรุงเทพฯ เช่น นครราชสีมา อยุธยา อ่างทอง ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และ จันทบุรี นำเสนอสินค้าท่องเที่ยวใหม่ๆ เป็นการเชิญชวน ส่วนภาคใต้จะใช้จังหวัดภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี เป็นศูนย์กลางกระจายการเดินทางของนักท่องเที่ยว เช่นเดียวกันกรุงเทพมหานคร เพราะทั้ง 2 จังหวัดเป็นเมืองเศรษฐกิจดี ประชาชนมีกำลังซื้อสูงสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้
นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวและช่วยเหลือผู้ประกอบการ ล่าสุด ได้มอบให้ นาวสาวศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ไปหารือกับปลัดกระทรวงการคลัง หารือถึงความเป็นไปได้ในการออกมาตรการทางภาษี โดยมี 2 แนวทางหลัก คือ 1.ลดหย่อนภาษีให้แก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยว และ 2.การลดภาษีให้แก่นักท่องเที่ยวที่เข้ามาชอปปิ้งในประเทศไทย
ทั้งนี้ การลดภาษีให้แก่ผู้ประกอบการ เพื่อแบ่งเบาภาระต้นทุน เพราะเข้าใจดีว่าในสถานการณ์ที่ราคาน้ำมันแพง ทำให้ต้นทุนค่าอาหาร ค่าบริหารจัดการเพิ่มขึ้น แต่ไม่สามารถปรับขึ้นค่าบริการได้ตามต้นทุนที่แท้จริง ดังนั้น การลดหย่อนภาษีตรงนี้จะช่วยประคองธุรกิจให้ภาคเอกชนอยู่ได้ โดยเฉพาะกลุ่ม SME ที่มีทุนไม่มากนัก ขณะที่การลดภาษีให้แก่นักท่องเที่ยว คือ การลดภาษีสินค้าในหมวดหมู่ที่นักท่องเที่ยวชอบที่จะเข้ามาจับจ่าย ซึ่งถือเป็นการจูงใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ชื่นชอบการชอปปิ้ง
“จากข้อมูลของบริษัทบัตรเครดิตวีซ่า พบว่า ในแต่ละปีนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาประเทศไทย นิยมจับจ่ายใช้สอย โดยมีการใช้จ่ายผ่านบัตรวีซ่าจำนวนมาก ดังนั้น หากเรามีการลดภาษีสินค้า จะยิ่งทำให้นักท่องเที่ยวชื่นชอบที่จะเดินทางเข้ามามากขึ้น เห็นได้จากช่วงที่ไทยมีการจัดงานอะเมซิ่งไทยแลนด์แกรนด์เซล นักท่องเที่ยวก็จะเข้ามาเยอะ”
อย่างไรก็ตาม มาตรการลดหย่อนภาษีนี้จะต้องให้เวลาสำหรับการศึกษา เพราะเป็นเรื่องอ่อนไหว ต้องคิดให้รอบคอบว่าจะได้ผลดีมากกว่าผลเสีย ซึ่งกระทรวงฯจะต้องพยายามผลักดันให้คลอดมาตรการนี้โดยเร็วที่สุด
นอกจากนั้น ยังเตรียมให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เร่งประชาสัมพันธ์เชิญชวนคนจีนในตระกูลแซ่ต่างๆ เข้ามาจัดประชุมในประเทศไทย โดยน่าจะเริ่มโครงการได้ภายในเดือนตุลาคมศกนี้ คาดว่า จะเชิญชวนชาวจีนตระกูลแซ่ต่างๆ เข้ามาประชุมรวมญาติในประเทศไทยได้ไม่น้อยกว่า 6-8 หมื่นคน ส่งภาพลักษณ์ตลาดไมซ์ในไทยคึกคักมากขึ้น และชาวจีนที่เข้ามาประชุมนี้ จะมาจากหลากหลายประเทศ เป็นการมารวมญาติพี่น้องในตระกูลเดียวกัน ซึ่งคนกลุ่มนี้ฐานะดีและทำธุรกิจการค้า ซึ่งบางที่ประเทศไทยก็จะได้กลุ่มนักลงทุน
สำหรับตลาดในประเทศ ต้องเร่งประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวระยะใกล้ ไม่เกิน 300 กิโลเมตร จากกรุงเทพฯ เช่น นครราชสีมา อยุธยา อ่างทอง ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และ จันทบุรี นำเสนอสินค้าท่องเที่ยวใหม่ๆ เป็นการเชิญชวน ส่วนภาคใต้จะใช้จังหวัดภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี เป็นศูนย์กลางกระจายการเดินทางของนักท่องเที่ยว เช่นเดียวกันกรุงเทพมหานคร เพราะทั้ง 2 จังหวัดเป็นเมืองเศรษฐกิจดี ประชาชนมีกำลังซื้อสูงสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้
