กสิกรไทยเอาใจลูกค้ารายย่อย ออกฝากประจำ 5 เดือน ดอกเบี้ยสูงสุด 3.65% ต่อปี พร้อมขายตั๋วแลกเงิน K-B/E Step-up อายุ 24 เดือน ดอกเบี้ยขั้นบันได สูงสุดถึง 6.00% เปิดรับฝากถึง 1 ส.ค.นี้
นายวีระชัย อมรรัตน์ ผู้บริหารฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์เงินฝากและค่าธรรมเนียมธุรกิจลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากการที่มีหลายฝ่ายออกมาคาดการณ์ว่าการประชุม กนง. ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2551 นี้ คณะกรรมการมีโอกาสที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย R/P 1 วัน ขึ้น 0.25% จาก 3.25% เป็น 3.50% ธนาคารกสิกรไทยจึงได้ออกเงินฝากประจำพิเศษ 5 เดือน จ่ายดอกเบี้ยสูงถึง 3.50% ต่อปี และในกรณีที่ลูกค้าใช้บริการเงินฝากประจำพิเศษ 5 เดือนพร้อมกับเปิดบัญชีเงินฝากทวีทรัพย์ หรือบัญชีเงินฝากประจำเผื่อฉุกเฉิน จะได้รับดอกเบี้ยเพิ่มสูงถึง 3.65% ต่อปี รับฝากขั้นต่ำ 10,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อราย ซึ่งการออกบริการเงินฝากดังกล่าวจะเป็นทางเลือกการออมเงินที่ให้ผลตอบแทนดีแก่กลุ่มลูกค้ารายย่อย โดยรับฝากตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม-1 สิงหาคม 2551 นี้เท่านั้น
นอกจากนี้ สำหรับลูกค้าที่ต้องการออมเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงเป็นพิเศษ ธนาคารกสิกรไทยยังได้เปิดจำหน่ายตั๋วแลกเงินกสิกรไทย (K-B/E Investment) รุ่นใหม่ คือ K-B/E Step-up ระยะเวลาการฝาก 24 เดือน จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นแบบขั้นบันไดสูงสุดถึง 6.00% ต่อปี โดยในเดือนที่ 1-6 จ่ายดอกเบี้ย 3.50% ต่อปี เดือนที่ 7-12 จ่ายดอกเบี้ย 4.00% ต่อปี เดือนที่ 13-18 จ่ายดอกเบี้ย 5.00% ต่อปี และเดือนที่ 19-24 จ่ายดอกเบี้ยสูงสุดถึง 6.00% ต่อปี ผู้สนใจสามารถลงทุนในตั๋วแลกเงินกสิกรไทย ขั้นต่ำที่ 500,000 บาท และทวีคูณของ 100,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม-1 สิงหาคม 2551 นี้เช่นกัน
นายวีระชัย เพิ่มเติมว่า การออกบริการเงินฝากประจำพิเศษ 5 เดือน และตั๋วแลกเงินกสิกรไทยรุ่นใหม่ครั้งนี้ น่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนรายย่อย ที่ต้องการได้รับผลตอบแทนที่สูง และมีความมั่นคงในการฝากเงินกับสถาบันการเงินชั้นนำ โดยเฉพาะลูกค้าสามารถเลือกช่วงระยะเวลาการฝากให้เหมาะสมกับการจัดการด้านการเงินของตนเองได้ ทั้งการฝากระยะสั้นเพียง 5 เดือน หรือต้องการมั่นใจกับผลตอบแทนที่สูงกว่าในระยะยาว 24 เดือน ก็สามารถลงทุนในตั๋วแลกเงินได้ ซึ่งผลตอบแทนที่สูงในระดับนี้ น่าจะช่วยลดผลกระทบของผู้ฝากเงินจากตัวเลขปัญหาเงินเฟ้อและราคาน้ำมันในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมาหลายเดือนได้บ้าง
**จับมือ สนช.หนุนทุนให้เปล่าเอสเอ็มอี**
นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทย ได้ร่วมมือกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) เปิดตัวโครงการ INNOSMEs เสริมทุนด้วยนวัตกรรม โดย K SME Care เพื่อส่งเสริมให้เอสเอ็มอีมีการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ นำความรู้ หรือผลงานวิจัยมาพัฒนาให้เป็นผลิตภัณฑ์ หรือพัฒนากระบวนการผลิตสินค้าหรือบริการใหม่ในเชิงพาณิชย์
โดย สนช.จะพิจารณาให้การสนับสนุนเงินทุนอุดหนุนในรูปแบบของเงินให้เปล่าแก่เอสเอ็มอีที่เป็นลูกค้าของธนาคารในวงเงินสูงสุดไม่เกินร้อยละ 75 ของค่าใช้จ่าย โดยโครงการที่จะเข้ารับการสนับสนุนต้องเป็นโครงการนวัตกรรมในระยะของการทดสอบ ที่มีการยืนยันความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีในขั้นตอนของการทำต้นแบบหรือนำร่อง ซึ่งอาจต่อยอดมาจากงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ หรือสิทธิบัตรที่เข้าเกณฑ์ตามที่กำหนด ทั้งนี้ ผู้เข้ารับการสนับสนุนจะต้องลงทุนในโครงการนวัตกรรมในรูปของเม็ดเงิน (in-cash) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 25 ของค่าใช้จ่ายเอสเอ็มอีที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถนำเสนอแผนเพื่อให้ สนช.พิจารณาได้ โดยจะทราบผลภายใน 1 วัน
ด้าน นายศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า สนช.ได้เตรียมเงินทุนแบบให้เปล่าสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เข้าร่วมโครงการและผ่านคุณสมบัติตามที่กำหนดจำนวน 20 ล้านบาท ในระยะเวลา 3 ปี ซึ่งโครงการนี้จะมีการจัดทำ Workshop เพื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีการค้นคว้าวิจัยโครงการนวัตกรรมอยู่แล้ว สามารถต่อยอดความคิดและรับฟังข้อเสนอแนะ เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบการสามารถจัดทำโครงการนวัตกรรมให้ประสบความสำเร็จและเข้าสู่ขั้นตอนของการทำต้นแบบได้อย่างสัมฤทธิ์ผล โดยคาดว่าจะทำให้เกิดมูลค่าการลงทุนประมาณ 400 ล้านบาท
นายวีระชัย อมรรัตน์ ผู้บริหารฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์เงินฝากและค่าธรรมเนียมธุรกิจลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากการที่มีหลายฝ่ายออกมาคาดการณ์ว่าการประชุม กนง. ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2551 นี้ คณะกรรมการมีโอกาสที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย R/P 1 วัน ขึ้น 0.25% จาก 3.25% เป็น 3.50% ธนาคารกสิกรไทยจึงได้ออกเงินฝากประจำพิเศษ 5 เดือน จ่ายดอกเบี้ยสูงถึง 3.50% ต่อปี และในกรณีที่ลูกค้าใช้บริการเงินฝากประจำพิเศษ 5 เดือนพร้อมกับเปิดบัญชีเงินฝากทวีทรัพย์ หรือบัญชีเงินฝากประจำเผื่อฉุกเฉิน จะได้รับดอกเบี้ยเพิ่มสูงถึง 3.65% ต่อปี รับฝากขั้นต่ำ 10,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อราย ซึ่งการออกบริการเงินฝากดังกล่าวจะเป็นทางเลือกการออมเงินที่ให้ผลตอบแทนดีแก่กลุ่มลูกค้ารายย่อย โดยรับฝากตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม-1 สิงหาคม 2551 นี้เท่านั้น
นอกจากนี้ สำหรับลูกค้าที่ต้องการออมเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงเป็นพิเศษ ธนาคารกสิกรไทยยังได้เปิดจำหน่ายตั๋วแลกเงินกสิกรไทย (K-B/E Investment) รุ่นใหม่ คือ K-B/E Step-up ระยะเวลาการฝาก 24 เดือน จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นแบบขั้นบันไดสูงสุดถึง 6.00% ต่อปี โดยในเดือนที่ 1-6 จ่ายดอกเบี้ย 3.50% ต่อปี เดือนที่ 7-12 จ่ายดอกเบี้ย 4.00% ต่อปี เดือนที่ 13-18 จ่ายดอกเบี้ย 5.00% ต่อปี และเดือนที่ 19-24 จ่ายดอกเบี้ยสูงสุดถึง 6.00% ต่อปี ผู้สนใจสามารถลงทุนในตั๋วแลกเงินกสิกรไทย ขั้นต่ำที่ 500,000 บาท และทวีคูณของ 100,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม-1 สิงหาคม 2551 นี้เช่นกัน
นายวีระชัย เพิ่มเติมว่า การออกบริการเงินฝากประจำพิเศษ 5 เดือน และตั๋วแลกเงินกสิกรไทยรุ่นใหม่ครั้งนี้ น่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนรายย่อย ที่ต้องการได้รับผลตอบแทนที่สูง และมีความมั่นคงในการฝากเงินกับสถาบันการเงินชั้นนำ โดยเฉพาะลูกค้าสามารถเลือกช่วงระยะเวลาการฝากให้เหมาะสมกับการจัดการด้านการเงินของตนเองได้ ทั้งการฝากระยะสั้นเพียง 5 เดือน หรือต้องการมั่นใจกับผลตอบแทนที่สูงกว่าในระยะยาว 24 เดือน ก็สามารถลงทุนในตั๋วแลกเงินได้ ซึ่งผลตอบแทนที่สูงในระดับนี้ น่าจะช่วยลดผลกระทบของผู้ฝากเงินจากตัวเลขปัญหาเงินเฟ้อและราคาน้ำมันในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมาหลายเดือนได้บ้าง
**จับมือ สนช.หนุนทุนให้เปล่าเอสเอ็มอี**
นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทย ได้ร่วมมือกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) เปิดตัวโครงการ INNOSMEs เสริมทุนด้วยนวัตกรรม โดย K SME Care เพื่อส่งเสริมให้เอสเอ็มอีมีการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ นำความรู้ หรือผลงานวิจัยมาพัฒนาให้เป็นผลิตภัณฑ์ หรือพัฒนากระบวนการผลิตสินค้าหรือบริการใหม่ในเชิงพาณิชย์
โดย สนช.จะพิจารณาให้การสนับสนุนเงินทุนอุดหนุนในรูปแบบของเงินให้เปล่าแก่เอสเอ็มอีที่เป็นลูกค้าของธนาคารในวงเงินสูงสุดไม่เกินร้อยละ 75 ของค่าใช้จ่าย โดยโครงการที่จะเข้ารับการสนับสนุนต้องเป็นโครงการนวัตกรรมในระยะของการทดสอบ ที่มีการยืนยันความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีในขั้นตอนของการทำต้นแบบหรือนำร่อง ซึ่งอาจต่อยอดมาจากงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ หรือสิทธิบัตรที่เข้าเกณฑ์ตามที่กำหนด ทั้งนี้ ผู้เข้ารับการสนับสนุนจะต้องลงทุนในโครงการนวัตกรรมในรูปของเม็ดเงิน (in-cash) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 25 ของค่าใช้จ่ายเอสเอ็มอีที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถนำเสนอแผนเพื่อให้ สนช.พิจารณาได้ โดยจะทราบผลภายใน 1 วัน
ด้าน นายศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า สนช.ได้เตรียมเงินทุนแบบให้เปล่าสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เข้าร่วมโครงการและผ่านคุณสมบัติตามที่กำหนดจำนวน 20 ล้านบาท ในระยะเวลา 3 ปี ซึ่งโครงการนี้จะมีการจัดทำ Workshop เพื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีการค้นคว้าวิจัยโครงการนวัตกรรมอยู่แล้ว สามารถต่อยอดความคิดและรับฟังข้อเสนอแนะ เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบการสามารถจัดทำโครงการนวัตกรรมให้ประสบความสำเร็จและเข้าสู่ขั้นตอนของการทำต้นแบบได้อย่างสัมฤทธิ์ผล โดยคาดว่าจะทำให้เกิดมูลค่าการลงทุนประมาณ 400 ล้านบาท
