แมงป่องแก้เกมปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ รีแบรนดิ้งแบรนด์สู่ความเป็นเอ็ดดูเทนเมนต์เต็มตัว ทุ่ม 100 ล้าน หันหน้าขายสารคดี 9 แบรนด์ดังระดับโลกปีนี้ คาด ปีหน้าเป็นหัวหอกสร้างรายได้ถึง 50% พร้อมรีโนเวตชอปอีก 80 ชอป รองรับแนวทางการดำเนินธุรกิจใหม่ มั่นใจสิ้นปีรายได้ขยับเพิ่ม 20-30% จาก 700 ล้านบาท ในปีก่อน
นางนลินรัตน์ นันท์นนส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ป่องทรัพย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้ทางบริษัทมีการปรับแผนการดำเนินธุรกิจใหม่ โดยวางตำแหน่งตัวเองสู่ความเป็นผู้นำความบันเทิงด้านเอ็ดดูเทนเมนต์ ซึ่งได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ รวมทั้งตลาดเทปผีซีดีเถื่อนที่ยังระบาดอย่างหนัก
โดยได้มีการเจรจาขอซื้อลิขสิทธิ์สารคดีชั้นนำต่อจากทาง บริษัท เอสที แกรนด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด จำนวน 9 แบรนด์ เช่น BBC, Nation Geographic, Discovery และ Animal planet เพื่อผลิตและจัดจำหน่ายในรูปแบบวีซีดีและดีวีดี แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ในระยะเวลา 4-5 ปีนับจากนี้ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนถึง 100 ล้านบาท
ทั้งนี้ ทางบริษัทกำลังเจรจากับบริษัทชั้นนำที่มีชื่อเสียงในการผลิตสารคดีระดับโลกอีก 2-3 แบรนด์ เพื่อให้คอนเทนต์ที่มีอยู่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น คาดว่า ไม่เกิน 2 ไตรมาสนี้จะสามารถสรุปผลการเจรจาได้ และจะทำให้บริษัทครองสิทธิ์ในการผลิตและจัดจำหน่ายได้อีก
สำหรับสาเหตุของการปรับทิศทางการดำเนินธุรกิจใหม่ครั้งนี้ ส่วนหนึ่งพบว่ากระแสเอ็ดดูเทนเมนต์ สังคมอุดมปัญญา เกี่ยวกับรายการที่เป็นประเภทสารคดีกำลังได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งในตลาดเองยังไม่มีใครเข้ามาทำอย่างจริงจัง ดังนั้น การที่แมงป่องเข้ามารุกครั้งนี้ คาดว่า จะมีโอกาสในการทำตลาดนี้มากยิ่งขึ้น และที่สำคัญ มองว่า กลุ่มเอ็ดดูเทนเมนต์ ซึ่งส่วนใหญ่กลุ่มเป้าหมายของนี้จะเป็นกลุ่มครอบครัวและนักสะสม ที่มีวุฒิภาวะและความรู้ความเข้าใจ และไม่สนับสนุนการซื้อแผ่นละเมิดลิขสิทธิ์มาชม จึงน่าจะช่วยในเรื่องของรายได้ที่หายไปจากการละเมิดลิขสิทธิ์เพลง หรือภาพยนตร์
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนในการรีโนเวตชอปร้านแมงป่องที่มีอยู่ประมาณ 80 สาขาทั่วประเทศ เพื่อปรับรูปแบบร้านให้เข้ากับนโยบายในการดำเนินธุรกิจใหม่นี้ด้วย โดยขณะนี้ดำเนินการไปแล้วกว่า 10% ทั้งนี้ บริษัทได้วางสัดส่วนรายได้ใหม่ออกเป็น เพลง 30% ภาพยนตร์ 30% เอ็ดดูเทนเมนต์ 30% และอื่นๆ อีก 10% คาดว่า น่าจะทำให้ปีนี้บริษัทมีอัตราการเติบโตมากขึ้นกว่า 20-30% จากรายได้ประมาณ 700 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าในปีก่อนตัวเลขรายได้ดังกล่าวจะต่ำกว่าเป้าที่วางไว้มากถึง 20% เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจและปัญหาทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจก็ตาม แต่ด้วยแผนงานที่มีการปรับใหม่น่าจะช่วยผลักดันให้เป็นไปตามเป้าหมายได้
นางนลินรัตน์ นันท์นนส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ป่องทรัพย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้ทางบริษัทมีการปรับแผนการดำเนินธุรกิจใหม่ โดยวางตำแหน่งตัวเองสู่ความเป็นผู้นำความบันเทิงด้านเอ็ดดูเทนเมนต์ ซึ่งได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ รวมทั้งตลาดเทปผีซีดีเถื่อนที่ยังระบาดอย่างหนัก
โดยได้มีการเจรจาขอซื้อลิขสิทธิ์สารคดีชั้นนำต่อจากทาง บริษัท เอสที แกรนด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด จำนวน 9 แบรนด์ เช่น BBC, Nation Geographic, Discovery และ Animal planet เพื่อผลิตและจัดจำหน่ายในรูปแบบวีซีดีและดีวีดี แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ในระยะเวลา 4-5 ปีนับจากนี้ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนถึง 100 ล้านบาท
ทั้งนี้ ทางบริษัทกำลังเจรจากับบริษัทชั้นนำที่มีชื่อเสียงในการผลิตสารคดีระดับโลกอีก 2-3 แบรนด์ เพื่อให้คอนเทนต์ที่มีอยู่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น คาดว่า ไม่เกิน 2 ไตรมาสนี้จะสามารถสรุปผลการเจรจาได้ และจะทำให้บริษัทครองสิทธิ์ในการผลิตและจัดจำหน่ายได้อีก
สำหรับสาเหตุของการปรับทิศทางการดำเนินธุรกิจใหม่ครั้งนี้ ส่วนหนึ่งพบว่ากระแสเอ็ดดูเทนเมนต์ สังคมอุดมปัญญา เกี่ยวกับรายการที่เป็นประเภทสารคดีกำลังได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งในตลาดเองยังไม่มีใครเข้ามาทำอย่างจริงจัง ดังนั้น การที่แมงป่องเข้ามารุกครั้งนี้ คาดว่า จะมีโอกาสในการทำตลาดนี้มากยิ่งขึ้น และที่สำคัญ มองว่า กลุ่มเอ็ดดูเทนเมนต์ ซึ่งส่วนใหญ่กลุ่มเป้าหมายของนี้จะเป็นกลุ่มครอบครัวและนักสะสม ที่มีวุฒิภาวะและความรู้ความเข้าใจ และไม่สนับสนุนการซื้อแผ่นละเมิดลิขสิทธิ์มาชม จึงน่าจะช่วยในเรื่องของรายได้ที่หายไปจากการละเมิดลิขสิทธิ์เพลง หรือภาพยนตร์
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนในการรีโนเวตชอปร้านแมงป่องที่มีอยู่ประมาณ 80 สาขาทั่วประเทศ เพื่อปรับรูปแบบร้านให้เข้ากับนโยบายในการดำเนินธุรกิจใหม่นี้ด้วย โดยขณะนี้ดำเนินการไปแล้วกว่า 10% ทั้งนี้ บริษัทได้วางสัดส่วนรายได้ใหม่ออกเป็น เพลง 30% ภาพยนตร์ 30% เอ็ดดูเทนเมนต์ 30% และอื่นๆ อีก 10% คาดว่า น่าจะทำให้ปีนี้บริษัทมีอัตราการเติบโตมากขึ้นกว่า 20-30% จากรายได้ประมาณ 700 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าในปีก่อนตัวเลขรายได้ดังกล่าวจะต่ำกว่าเป้าที่วางไว้มากถึง 20% เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจและปัญหาทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจก็ตาม แต่ด้วยแผนงานที่มีการปรับใหม่น่าจะช่วยผลักดันให้เป็นไปตามเป้าหมายได้