“วิ-นาสเร่” ปรับแผนใหม่ ลดกิจกรรม ลุยแมสมีเดีย ชูกลยุทธ์แจกตัวอย่างสินค้า เขย่าตลาดเครื่องสำอางพรีเมียม เคาน์เตอร์แบรนด์ เล่นนั่งไม่ติดเก้าอี้ กระโดดร่วมแข่งขัน ภายใต้งบตลาดไม่ต่ำกว่า 15 ล้านบาท พร้อมทุ่ม 5 ล้านบาท ลุยขยายเคาน์เตอร์ในปีนี้อีก2-4 สาขา และสถาบัน วิ-นาสเร่ เสริมทัพ มั่นใจต่อเดือนแต่ละเคาน์เตอร์จะมียอดขายประมาณ 1 ล้านบาท
นายสมพล ยศวิริยะพาณิชย์ ผู้จัดการภูมิภาค-ภาคพื้นเอเชีย Regional-Far East บริษัท เมญ่า (ประเทศไทย) จำกัด ตัวแทนจำหน่ายเครื่องสำอางระดับพรีเมี่ยม แบรนด์ “วิ-นาสเร่” จากประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า หลังจากที่บริษัทเข้ามาทำธุรกิจนำเข้าและจัดจำหน่ายเครื่องสำอาง วิ-นาสเร่ ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนตุลาคมในปีที่ผ่านมา บริษัทได้ทำตลาดในลักษณะผ่านกิจกรรม เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคมากกว่าใช้แมสมีเดีย แต่ปรากฏว่า ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร จึงได้มีการเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ โดยปีนี้บริษัทฯได้ใช้งบประมาณการตลาดกว่า 15 ล้านบาท มุ่งเน้นแมสมีเดียมากกว่ากิจกรรมแทน พร้อมกับกลยุทธ์ลดแลกแจกแถม ซึ่ง 3 เดือนที่ผ่านมาพบว่าเป็นวิธีที่ได้ผลค่อนข้างสูง
ทั้งนี้ หลังจากที่บริษัทได้นำกลยุทธ์ลด แลก แจก แถม มาใช้ โดยเฉพาะการแจกสินค้าตัวอย่าง ในลักษณะของแพกเกจจิงที่จำหน่าย แต่บรรจุเครื่องสำอางน้อยกว่าที่จำหน่ายนั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของการเพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่ในไตรมาสแรกพุ่งถึง 119 ราย รวมเป็น 200 รายตั้งแต่เปิดตัวสินค้า ซึ่งกว่า 50% เป็นลูกค้าใหม่ที่มีการซื้อซ้ำ ทั้งนี้ บริษัทจึงได้ปรับเป้าลูกค้าใหม่เป็น 1,000 รายให้ได้ จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ว่าปีนี้จะมีลูกค้า 300 ราย
“วิธีการแจกสินค้าตัวอย่างนี้ ปกติก็มีอยู่แล้ว แต่สำหรับกลุ่มเครื่องสำอางระดับพรีเมี่ยมจะไม่ทำกัน เพราะจะทำให้อิมเมจแบรนด์ลดลง หรือถ้าแจกก็จะต้องเป็นแบบลูกค้าซื้อแล้ว จึงแจกแบบซองเล็กๆ ไป แต่ในส่วนของ วิ-นาสเร่ ปรับวิธีการแจกสินค้าตัวอย่างใหม่เลย ภายใต้แพกเกจจิงจริง แต่จะบรรจุเครื่องสำอางไม่เท่าที่จำหน่าย ซึ่งวิธีการดังกล่าวช่วยดึงลูกค้าใหม่ได้มาก ขณะเดียวกันพบว่าทำให้แบรนด์เครื่องสำอางพรีเมี่ยมหลายแบรนด์ หันมาใช้กลยุทธ์ดังกล่าวมากขึ้นด้วย ซึ่งถือเป็นการดีทำให้เกิดการแข่งขัน มากยิ่งขึ้น”
ส่วนการโฆษณาประชาสัมพันธ์นั้น จะเน้นลงประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์เป็นหลัก โดยจะเน้นลงเนื้อหาให้ความรู้มากกว่า ขณะที่สื่อทีวีมองว่าไม่เหมาะสม เพราะอาจทำให้ภาพลักษณ์แบรนด์ดูเป็นแมสมากเกินไป
ในส่วนของการลงทุนเพิ่มนั้น ปีนี้บริษัทคาดว่าจะใช้งบลงทุนอีกประมาณ 5 ล้านบาท แบ่งเป็นใช้สำหรับดำเนินการเปิดให้บริการ สถาบัน วิ-นาสเร่ เป็นหลัก ที่ลูกค้าสามารถเข้ามาใช้บริการทั้งการปฏิบัติผิว นวดหน้า ให้ความรู้ และซื้อสินค้าได้ ขณะที่จำนวนเคาน์เตอร์ที่จะเปิดเพิ่มปีนี้ จะมีที่เดอะมอลล์งามวงศ์วาน และทางเซ็นทรัลอีก 1-3 สาขา จากเดิมที่มีอยู่ 2 เคาน์เตอร์ คือ สยามพารากอน และ เดอะมอลล์ บางกะปิ
รุกเวิลด์ไวด์ลุยอเมริกา
นายสมพล กล่าวด้วยว่า หลังจากที่ตกลงดำเนินธุรกิจกับทางบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น โดยทางไทยจะรับผิดชอบในการทำตลาดต่างประเทศนั้น ล่าสุดในปีนี้ทางบริษัทได้มีการเจรจาแต่งตั้งให้ทางตัวแทนจำหน่ายที่ประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ทำตลาด วิ-นาสเร่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แผนต่อจากนี้ คือ บริษัทกำลังจะมีการจัดทำโรดโชว์ไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงกลางปีนี้ ให้เรียบร้อยก่อนเดือน มิ.ย.2551 ทั้งนี้ บริษัทต้องการที่จะเข้าไปเจรจากับทางผู้ลงทุนในอเมริกา ในกลุ่มสินค้าเพอร์ซันนอลแคร์ ซึ่งการไปโรดโชว์ครั้งนี้ บริษัทตั้งใจที่จะทำในรูปแบบขายตรงให้ โดยผู้ลงทุนจะเป็นผู้วางแผนการทำตลาดทั้งหมด
การเข้าไปบุกตลาดต่างประเทศทั้งในเอเชียและยุโรปครั้งนี้ เนื่องจากมองว่าแค่ในประเทศเดียวคงไม่เพียงพอแล้ว ซึ่งการลงทุนในต่างประเทศยังช่วยทำให้ความเสี่ยงลดลงด้วย หากยอดขายในไทยหรือประเทศไทยเกิดปัญหาที่ไม่คาดคิดขึ้นมาในอนาคต ทั้งนี้รายได้จากต่างประเทศเชื่อว่าปีนี้จะสูงกว่าถึง 2 เท่า ขณะที่ประเทศไทยตั้งเป้าต่อเคาน์เตอร์น่าจะมีรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 8 แสน-1 ล้านบาท
นายสมพล ยศวิริยะพาณิชย์ ผู้จัดการภูมิภาค-ภาคพื้นเอเชีย Regional-Far East บริษัท เมญ่า (ประเทศไทย) จำกัด ตัวแทนจำหน่ายเครื่องสำอางระดับพรีเมี่ยม แบรนด์ “วิ-นาสเร่” จากประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า หลังจากที่บริษัทเข้ามาทำธุรกิจนำเข้าและจัดจำหน่ายเครื่องสำอาง วิ-นาสเร่ ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนตุลาคมในปีที่ผ่านมา บริษัทได้ทำตลาดในลักษณะผ่านกิจกรรม เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคมากกว่าใช้แมสมีเดีย แต่ปรากฏว่า ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร จึงได้มีการเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ โดยปีนี้บริษัทฯได้ใช้งบประมาณการตลาดกว่า 15 ล้านบาท มุ่งเน้นแมสมีเดียมากกว่ากิจกรรมแทน พร้อมกับกลยุทธ์ลดแลกแจกแถม ซึ่ง 3 เดือนที่ผ่านมาพบว่าเป็นวิธีที่ได้ผลค่อนข้างสูง
ทั้งนี้ หลังจากที่บริษัทได้นำกลยุทธ์ลด แลก แจก แถม มาใช้ โดยเฉพาะการแจกสินค้าตัวอย่าง ในลักษณะของแพกเกจจิงที่จำหน่าย แต่บรรจุเครื่องสำอางน้อยกว่าที่จำหน่ายนั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของการเพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่ในไตรมาสแรกพุ่งถึง 119 ราย รวมเป็น 200 รายตั้งแต่เปิดตัวสินค้า ซึ่งกว่า 50% เป็นลูกค้าใหม่ที่มีการซื้อซ้ำ ทั้งนี้ บริษัทจึงได้ปรับเป้าลูกค้าใหม่เป็น 1,000 รายให้ได้ จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ว่าปีนี้จะมีลูกค้า 300 ราย
“วิธีการแจกสินค้าตัวอย่างนี้ ปกติก็มีอยู่แล้ว แต่สำหรับกลุ่มเครื่องสำอางระดับพรีเมี่ยมจะไม่ทำกัน เพราะจะทำให้อิมเมจแบรนด์ลดลง หรือถ้าแจกก็จะต้องเป็นแบบลูกค้าซื้อแล้ว จึงแจกแบบซองเล็กๆ ไป แต่ในส่วนของ วิ-นาสเร่ ปรับวิธีการแจกสินค้าตัวอย่างใหม่เลย ภายใต้แพกเกจจิงจริง แต่จะบรรจุเครื่องสำอางไม่เท่าที่จำหน่าย ซึ่งวิธีการดังกล่าวช่วยดึงลูกค้าใหม่ได้มาก ขณะเดียวกันพบว่าทำให้แบรนด์เครื่องสำอางพรีเมี่ยมหลายแบรนด์ หันมาใช้กลยุทธ์ดังกล่าวมากขึ้นด้วย ซึ่งถือเป็นการดีทำให้เกิดการแข่งขัน มากยิ่งขึ้น”
ส่วนการโฆษณาประชาสัมพันธ์นั้น จะเน้นลงประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์เป็นหลัก โดยจะเน้นลงเนื้อหาให้ความรู้มากกว่า ขณะที่สื่อทีวีมองว่าไม่เหมาะสม เพราะอาจทำให้ภาพลักษณ์แบรนด์ดูเป็นแมสมากเกินไป
ในส่วนของการลงทุนเพิ่มนั้น ปีนี้บริษัทคาดว่าจะใช้งบลงทุนอีกประมาณ 5 ล้านบาท แบ่งเป็นใช้สำหรับดำเนินการเปิดให้บริการ สถาบัน วิ-นาสเร่ เป็นหลัก ที่ลูกค้าสามารถเข้ามาใช้บริการทั้งการปฏิบัติผิว นวดหน้า ให้ความรู้ และซื้อสินค้าได้ ขณะที่จำนวนเคาน์เตอร์ที่จะเปิดเพิ่มปีนี้ จะมีที่เดอะมอลล์งามวงศ์วาน และทางเซ็นทรัลอีก 1-3 สาขา จากเดิมที่มีอยู่ 2 เคาน์เตอร์ คือ สยามพารากอน และ เดอะมอลล์ บางกะปิ
รุกเวิลด์ไวด์ลุยอเมริกา
นายสมพล กล่าวด้วยว่า หลังจากที่ตกลงดำเนินธุรกิจกับทางบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น โดยทางไทยจะรับผิดชอบในการทำตลาดต่างประเทศนั้น ล่าสุดในปีนี้ทางบริษัทได้มีการเจรจาแต่งตั้งให้ทางตัวแทนจำหน่ายที่ประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ทำตลาด วิ-นาสเร่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แผนต่อจากนี้ คือ บริษัทกำลังจะมีการจัดทำโรดโชว์ไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงกลางปีนี้ ให้เรียบร้อยก่อนเดือน มิ.ย.2551 ทั้งนี้ บริษัทต้องการที่จะเข้าไปเจรจากับทางผู้ลงทุนในอเมริกา ในกลุ่มสินค้าเพอร์ซันนอลแคร์ ซึ่งการไปโรดโชว์ครั้งนี้ บริษัทตั้งใจที่จะทำในรูปแบบขายตรงให้ โดยผู้ลงทุนจะเป็นผู้วางแผนการทำตลาดทั้งหมด
การเข้าไปบุกตลาดต่างประเทศทั้งในเอเชียและยุโรปครั้งนี้ เนื่องจากมองว่าแค่ในประเทศเดียวคงไม่เพียงพอแล้ว ซึ่งการลงทุนในต่างประเทศยังช่วยทำให้ความเสี่ยงลดลงด้วย หากยอดขายในไทยหรือประเทศไทยเกิดปัญหาที่ไม่คาดคิดขึ้นมาในอนาคต ทั้งนี้รายได้จากต่างประเทศเชื่อว่าปีนี้จะสูงกว่าถึง 2 เท่า ขณะที่ประเทศไทยตั้งเป้าต่อเคาน์เตอร์น่าจะมีรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 8 แสน-1 ล้านบาท