มาม่า รับอานิสงส์ค่าครองชีพพุ่ง ราคาอาหารแพงหูฉี่ คนชั้นกลางแห่กินบะหมี่คัพ อาหารทางเลือกราคาประหยัด 13 บาท ถูกกว่าข้าวกะเพรา-ก๋วยเตี๋ยว 17 บาท ยิ้มรับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถ้วยโตพรวด 30% ระบุ กำลังการซื้อผู้บริโภคไตรมาสสองเริ่มฟื้น หลังรัฐบาลอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ สิ้นปีนี้โกยรายได้ 10% ตามเป้า
นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรามาม่า เปิดเผยว่า หลังจากที่ประเทศไทยมีรัฐบาลชุดใหม่มาบริหารประเทศภายใต้การนำของ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และผ่านพ้นการบริหารงานไปในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ พบว่า กำลังการซื้อโดยรวมของผู้บริโภคไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก โดยยังคงมีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยเหมือนเดิม
นายพิพัฒ กล่าวว่า สังเกตได้จากยอดขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่าในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ กลับไม่มีอัตราการเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้บริโภคได้ซื้อเพื่อกักตุนสินค้าไปในช่วงก่อนหน้านี้แล้ว หลังจากที่มาม่าได้ทำการปรับราคาขึ้นจากเดิม 5 บาท เป็น 6 บาท ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ปีที่ผ่านมา จึงมีอัตราการเติบโต 26%
สำหรับแนวโน้มกำลังซื้อในช่วงไตรมาสที่สอง คาดว่า น่าจะกลับมาดีขึ้น แม้ว่าขณะนี้ค่าครองชีพของผู้บริโภคคนไทย ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้า ข้าว น้ำมันพืช น้ำมัน ค่าเดินทางพาหนะ ฯลฯ จะปรับเพิ่มขึ้นตลอดเวลา แต่พบว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเริ่มฟื้นขึ้นตามลำดับ โดยข้อมูลจากหอการค้าไทย ระบุว่า ความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นติดต่อ 5 เดือน ทั้งนี้ เป็นเพราะนโยบายรัฐบาลชุดใหม่มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ อย่างไรก็ตาม หากไม่มีปัจจัยลบการเมืองประเทศไทยขาดเสถียรภาพ หรือนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้ผล คาดว่า กำลังซื้อของผู้บริโภคจะกลับมาดีขึ้น
ปีนี้โอกาสที่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่าจะมีอัตราการเติบโตมีสูง เนื่องจากได้รับอานิสงส์ผลพวงจากค่าครองชีพที่ปรับเพิ่มขึ้น อาทิ ค่าอาหารก๋วยเตี๋ยว ข้าวกะเพรา จาก 25 บาท เป็น 30 บาทต่อมื้อ ทำให้มีผู้บริโภคจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะชนชั้นกลางซึ่งเป็นผู้อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ หันมากินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบรรจุภัณฑ์ถ้วย หรือคัพ ขนาด 60 กรัม ราคา 13 บาท เป็นจำนวนมาก เพราะมีราคาถูกกว่าค่าอาหารปกติ 17 บาท ส่งผลให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชนิดถ้วยมีอัตราการเติบโต 30% จึงคาดว่าผลประกอบการปีนี้ของบริษัทที่ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโตยอดขาย 10% น่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ผลประกอบการของบริษัทมีอัตราการเติบโต 10% เกินเป้าหมายของบริษัทที่ตั้งไว้
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นนั้น นายพิพัฒ กล่าวว่า หากปีนี้น้ำมันดิบปรับราคาเพิ่มขึ้นเป็น 120 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันปาล์มปรับราคาเพิ่มขึ้นจาก 40 บาท เป็น 45-50 บาท ในปีหน้านี้บริษัทอาจจะมีแผนปรับราคาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่าอีกครั้ง ถือว่าเป็นการปรับราคาติดต่อกัน 2 ปี คือ ตั้งแต่ปี 2551 และปี 2552 แต่หากราคาน้ำมันปาล์มไม่มีการปรับขึ้น บริษัทฯก็ยังคงราคาเดิมไว้ คือ 6 บาท
สำหรับปัจจุบันบะหมึ่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า มีส่วนแบ่งตลาด 52.4% และตั้งเป้าสิ้นปีจะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มเป็น 55% ตอกย้ำผู้นำตลาดอย่างต่อเนื่อง ส่วนไวไว เป็นอันดับสองของตลาด มีส่วนแบ่ง 25.8% และยำยำ 19.7% อื่นๆ อีก 2% จากมูลค่าตลาดรวมกว่า 10,500 ล้านบาท
นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรามาม่า เปิดเผยว่า หลังจากที่ประเทศไทยมีรัฐบาลชุดใหม่มาบริหารประเทศภายใต้การนำของ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และผ่านพ้นการบริหารงานไปในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ พบว่า กำลังการซื้อโดยรวมของผู้บริโภคไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก โดยยังคงมีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยเหมือนเดิม
นายพิพัฒ กล่าวว่า สังเกตได้จากยอดขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่าในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ กลับไม่มีอัตราการเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้บริโภคได้ซื้อเพื่อกักตุนสินค้าไปในช่วงก่อนหน้านี้แล้ว หลังจากที่มาม่าได้ทำการปรับราคาขึ้นจากเดิม 5 บาท เป็น 6 บาท ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ปีที่ผ่านมา จึงมีอัตราการเติบโต 26%
สำหรับแนวโน้มกำลังซื้อในช่วงไตรมาสที่สอง คาดว่า น่าจะกลับมาดีขึ้น แม้ว่าขณะนี้ค่าครองชีพของผู้บริโภคคนไทย ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้า ข้าว น้ำมันพืช น้ำมัน ค่าเดินทางพาหนะ ฯลฯ จะปรับเพิ่มขึ้นตลอดเวลา แต่พบว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเริ่มฟื้นขึ้นตามลำดับ โดยข้อมูลจากหอการค้าไทย ระบุว่า ความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นติดต่อ 5 เดือน ทั้งนี้ เป็นเพราะนโยบายรัฐบาลชุดใหม่มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ อย่างไรก็ตาม หากไม่มีปัจจัยลบการเมืองประเทศไทยขาดเสถียรภาพ หรือนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้ผล คาดว่า กำลังซื้อของผู้บริโภคจะกลับมาดีขึ้น
ปีนี้โอกาสที่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่าจะมีอัตราการเติบโตมีสูง เนื่องจากได้รับอานิสงส์ผลพวงจากค่าครองชีพที่ปรับเพิ่มขึ้น อาทิ ค่าอาหารก๋วยเตี๋ยว ข้าวกะเพรา จาก 25 บาท เป็น 30 บาทต่อมื้อ ทำให้มีผู้บริโภคจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะชนชั้นกลางซึ่งเป็นผู้อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ หันมากินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบรรจุภัณฑ์ถ้วย หรือคัพ ขนาด 60 กรัม ราคา 13 บาท เป็นจำนวนมาก เพราะมีราคาถูกกว่าค่าอาหารปกติ 17 บาท ส่งผลให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชนิดถ้วยมีอัตราการเติบโต 30% จึงคาดว่าผลประกอบการปีนี้ของบริษัทที่ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโตยอดขาย 10% น่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ผลประกอบการของบริษัทมีอัตราการเติบโต 10% เกินเป้าหมายของบริษัทที่ตั้งไว้
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นนั้น นายพิพัฒ กล่าวว่า หากปีนี้น้ำมันดิบปรับราคาเพิ่มขึ้นเป็น 120 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันปาล์มปรับราคาเพิ่มขึ้นจาก 40 บาท เป็น 45-50 บาท ในปีหน้านี้บริษัทอาจจะมีแผนปรับราคาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่าอีกครั้ง ถือว่าเป็นการปรับราคาติดต่อกัน 2 ปี คือ ตั้งแต่ปี 2551 และปี 2552 แต่หากราคาน้ำมันปาล์มไม่มีการปรับขึ้น บริษัทฯก็ยังคงราคาเดิมไว้ คือ 6 บาท
สำหรับปัจจุบันบะหมึ่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า มีส่วนแบ่งตลาด 52.4% และตั้งเป้าสิ้นปีจะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มเป็น 55% ตอกย้ำผู้นำตลาดอย่างต่อเนื่อง ส่วนไวไว เป็นอันดับสองของตลาด มีส่วนแบ่ง 25.8% และยำยำ 19.7% อื่นๆ อีก 2% จากมูลค่าตลาดรวมกว่า 10,500 ล้านบาท