xs
xsm
sm
md
lg

"เจ๊มิ่ง" โชว์ลดราคาสินค้าครั้งที่ 2 วันนี้ มั่นใจไม่เสียฟอร์มเหมือนคราวก่อน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"มิ่งขวัญ" เตรียมแถลงข่าวโชว์ลีลาการลดค่าครองชีพประชาชนระลอกที่ 2 ต่อจากการลดราคาเนื้อหมู โดยส่งเจ้าหน้าที่กล่อมเอกชนผู้ผลิตสินค้า ทั้งนมผง น้ำยาล้างจาน สบู่ และผงซักฟอก ประกาศลดราคาจำหน่าย 5-20 บาทในวันนี้ แลกกับการให้ภาครัฐหาตลาดส่งออกใหม่ๆ ทั้งแถบเพื่อนบ้านและตลาดอื่นทั่วโลก โดยคาดว่าจะสามารถช่วยเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อลดต้นทุนได้ พร้อมเตรียมหารือกระทรวงการคลังปรับลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ เพื่อทำให้เนื้อสัตว์มีราคาถูกลงด้วย

รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า วันนี้ (10 มี.ค.) เวลา 10.00 น. นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เชิญกลุ่มตัวแทนผู้ผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภครายใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์นมผง สบู่ น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก และอื่นๆ ที่ได้รับปากกับกระทรวงพาณิชย์ว่าจะตรึงราคาสินค้าไประยะหนึ่งมาหารือ หลังจากได้มีการประชุมร่วมกันแบบรายต่อรายในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งผู้ประกอบการยอมจะช่วยเหลือผู้บริโภคด้วยการปรับลดราคาสินค้าเหล่านี้ลงมาแทนการตรึงราคาสินค้าไว้ โดยราคาเฉลี่ยที่จะปรับลดลงคือตั้งแต่ 5-20 บาทต่อรายการ ซึ่งจะประกาศปรับลดราคาร่วมกันในวันนี้ และจะมีระยะเวลาการปรับลดราคาเหมือนกับลดราคาเนื้อหมูให้เหลือ 98 บาทต่อกิโลกรัม

นอกจากนี้ นายมิ่งขวัญ ยังสั่งการให้นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าภายใน และองค์การคลังสินค้า (อคส.) ศึกษาต้นทุนการจัดทำข้าวบรรจุถุงเพื่อจำหน่ายให้ประชาชนในราคาถูก เนื่องจากได้รับการร้องเรียนถึงราคาข้าวถุงในประเทศที่สูงขึ้นต่อเนื่องและ ร้องเรียนผ่านสายด่วน 1569 ทั้งนี้ ข้าวถุงตาม แนวนโยบายของนายมิ่งขวัญ จะเป็นข้าวขาวชนิด 5% ในสตอกรัฐบาลที่มีอยู่ประมาณ 2 ล้านตัน มาบรรจุขนาด 5 กิโลกรัม (กก.) และ 10 กก. จำหน่ายในราคาต่ำกว่าท้องตลาด 5-10% และนำเข้าแทรกแซงในโครงการธงฟ้า และป้อนพาณิชย์จังหวัด และบริหารจัดการโดย อคส. เป้าหมาย เพื่อลดภาวะค่าครองชีพประชาชน ลดการเก็งกำไรจากการระบายข้าวในสต๊อครัฐบาล และแก้ปัญหาต้นทุนผลิตอาหารสำเร็จรูปที่มีราคาสูงขึ้นเฉลี่ย เมนูละ 5 บาท โดยอ้างข้าวมีราคาสูงขึ้น

"เมื่อดูต้นทุนราคาในสต๊อคบวกค่าใช้จ่ายด้านถุงบรรจุและการขนส่ง ยังเป็นราคาที่แข่งขันได้กับภาคเอกชนและไม่ก่อให้เกิดการขาดทุนกับข้าวของหลวง และสามารถดำเนินการบรรจุได้ทันทีโดย อคส. จะเหลือเพียงดูว่าผิดระเบียบ คชก. (คณะกรรมการนโยบายและช่วยเหลือเกษตรกร หรือไม่) เพราะเป็นข้าวของ คชก.อย่างข้าวถุงที่ อคส.ทำอยู่ ก็เป็นการประมูลซื้อแย่งกับเอกชน และนำมาบรรจุถุงขาย ในราคา 140 บาท สำหรับถุงขนาด 5 กก. และ 33 บาท สำหรับถุง

อย่างไรก็ตาม การปรับลดราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคเพื่อช่วยเหลือผู้บริโภคในครั้งนี้ผู้ผลิตสินค้าส่วนใหญ่ต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้รับปากที่จะช่วยเหลือด้วยการเร่งหาตลาดเพิ่มขึ้นไปยังตลาดประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา พม่า เป็นต้น เพราะประเทศเหล่านี้มีความต้องการสินค้าอุปโภคและบริโภคของไทยในแต่ละปีค่อนข้างสูงมาก ประกอบกับสินค้าหลายรายการของไทยยังเป็นที่ต้องการในตลาดอื่นๆทั่วโลก จึงเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าได้มากขึ้น ซึ่งนอกจากจะลดต้นทุนการผลิตแล้ว ยังจะทำให้สินค้ามีจำนวนเพียงพอต่อความต้องการ และเป็นการกระจายสินค้าทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังรวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะประชุมหารือเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือผู้ผลิตสินค้าด้านอื่นๆ เพิ่มเติม

แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ ยังกล่าวถึงการลดราคาเนื้อหมูเหลือกิโลกรัมละ 98 บาท โดยระบุว่า หลังจากห้างสรรพสินค้า 4 รายใหญ่ที่มีสาขามากกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ สมาคมชำแหละสุกรและตลาดสดบางแห่ง สำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ ได้ร่วมมือกันปรับลดราคาหมูหน้าเขียงลงมาจาก 120 บาทต่อกิโลกรัม เหลือ 98 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่าในช่วงแรกจะยังไม่เห็นผลและยังไม่กระจายไปทั่วประเทศ แต่เชื่อว่าจะเป็นการลดค่าครองชีพให้กับผู้บริโภคได้ส่วนหนึ่ง โดยได้รับรายงานว่าขณะนี้มีหลายตลาดทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ทำเรื่องขอเข้าร่วมโครงการ และมีบางตลาดสดที่แม้ว่าจะไม่ได้เข้าร่วมโครงการแต่ก็ยอมปรับลดราคาเนื้อหมูลงมาแล้ว เช่น ตลาดสดยิ่งเจริญ จากเดิมอยู่ที่ 115-120 บาทต่อกิโลกรัม ขณะนี้เหลือ 100-115 บาทต่อกิโลกรัม ตลาดพงษ์เพชรเหลือ 110 บาทต่อกิโลกรัม ตลาดสดบางแคเหลือ 105 บาทต่อกิโลกรัม และอีกหลายตลาดที่มีการปรับลดราคาลงมา

ขณะเดียวกันภาครัฐกำลังศึกษาข้อดีข้อเสียที่จะพิจารณาใช้มาตรการปรับลดภาษีนำเข้าอาหารสัตว์ ซึ่งกำลังดูว่ามีความเหมาะสมเพียงใด แต่หากดูที่ต้นทุนวัตถุดิบกลุ่มอาหารสัตว์แม้ว่าจะมีราคาแพงขึ้นแต่ก็ไม่ถึงขั้นที่เกิดความผันผวนจนไม่สามารถประเมินต้นทุนที่แท้จริงได้ จึงไม่อยากให้กลุ่มผู้นำเข้าอาหารสัตว์และผู้เลี้ยงหมูนำมาเป็นข้ออ้างปรับราคาหมูมีชีวิตที่หน้าฟาร์มแบบไม่มีเหตุผลมากจนเกินไป
กำลังโหลดความคิดเห็น