เฟสต้า เสนอ วีระศักดิ์ แก้กฎหมายตั้งประธาน สทท.เน้นความยุติธรรมตามสัดส่วนของการทำงาน แถมเล่นไม่เลิก ท้า สทท.เปิดเวทีอภิปราย เชิญบุคคลที่สามร่วมตัดสิน ด้าน ประธาน สทท.ฉะ หากประสงค์ดีจริง ใช้เวทีที่มีอยู่ร่วมกันทำงานจะดีกว่า
นายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) ในฐานะโฆษกสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย หรือ เฟสต้า เปิดเผยว่า กลุ่มเฟสต้าได้ยื่นเสนอต่อ นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ขอให้พิจารณาแก้ไข พ.ร.บ.สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ใน 2 ประเด็นหลัก คือ กฎเกณฑ์การเลือกตั้งประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ให้มีความยุติธรรมมากกว่านี้ และการกำหนดหน้าที่การทำงานของ สทท.ให้มีความชัดเจน
โดยในรายละเอียดต้องการให้ปรับสัดส่วนการโหวตคะแนน ระหว่าง กรุงเทพฯ และ ต่างจังหวัด เพื่อป้องการบล็อกโหวต เพราะปัจจุบันใช้สัดส่วน 13 เสียง ต่อ 13 เสียง เท่ากัน ขณะที่ต่างจังหวัดหากนับจำนวนสมาชิกย่อมมากกว่าในกรุงเทพฯอยู่แล้ว ส่วนคุณสมบัติของผู้จะขึ้นดำรงตำแหน่งประธาน สทท.ต้องเป็นตัวแทนจากสมาคมในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ไม่ใช่เป็นนิติบุคคล เพราะเชื่อว่าในนามสมาคม จะทำงานด้านการประสานงานได้ดีกว่า
“ปัญหาขณะนี้ คือ สทท.ไม่สามารถเป็นตัวแทนเอกชนภาคธุรกิจการท่องเที่ยวได้อย่างแท้จริง เพราะขาดความร่วมมือกัน ทำให้ปัญหาในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไม่สามารถเข้าสู่ระบบการจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่มีการตั้ง สทท.การเลือกตั้งประธานทุกครั้ง คะแนนเสียงจากต่างจังหวัดจะดีกว่า ทั้งที่บางสมาคมมีจำนวนสมาชิกก็น้อย การทำงานก็เฉพาะกลุ่ม ไม่ได้ดูภาพรวมทั้งอุตสาหกรรม ส่งผลให้ผลงานของ สทท.ที่ออกมาขณะนี้ไม่เป็นกลางเท่าที่ควร และไม่สามารถแก้ไขปัญหาของอุตสาหกรรมนี้ในระดับชาติได้”
อย่างไรก็ตาม ต้องการให้ สทท.จัดเวทีอภิปรายร่วมกับเฟสต้า เพื่อแสดงให้เห็นว่า ภาคเอกชนมีการร่วมกันทำงานอย่างแท้จริง แต่ต้องมีฝ่ายที่สาม มาร่วมเป็นพยาน เพราะที่ผ่านมาเฟสต้า พยายามชี้แจงปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ซึ่งตรงนี้ถือเป็นปัญหาใหญ่ ที่ทำให้การทำงานในภาคเอกชนไม่เกิดศักยภาพ
ทางด้าน นายกงกฤช หิรัญกิจ ประธาน สทท.กล่าวว่า สทท.เปิดเวทีให้ทุกฝ่ายแสดงความคิดเห็นอยู่แล้ว ดังนั้น หาก เฟสต้า มีความจริงใจกับการแก้ไขปัญหาให้แก่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ก็ควรที่จะเข้ามาสู่ระบบนี้ และ ใช้เวทีนี้แสดงความคิดเห็นให้เต็มที่ ที่ผ่านมา สทท.รับฟังทุกข้อเสนอแนะ หากสิ่งใด ที่เฟสต้าเห็นว่าดี เราก็หยิบมาพิจารณา เช่น ปัญหาการใช้ลิขสิทธิ์เพลง หรือเรื่องการกำหนดช่วงเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นต้น ซึ่งการที่ทุกฝ่ายมีความคิดเห็นที่แตกต่างไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เมื่อเวทีให้ทำงานโดยมีกฎหมายรองรับ ทุกคนก็ควรเข้ามาเล่นกันในกติกา ไม่จำเป็นต้องให้บุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง
นายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) ในฐานะโฆษกสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย หรือ เฟสต้า เปิดเผยว่า กลุ่มเฟสต้าได้ยื่นเสนอต่อ นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ขอให้พิจารณาแก้ไข พ.ร.บ.สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ใน 2 ประเด็นหลัก คือ กฎเกณฑ์การเลือกตั้งประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ให้มีความยุติธรรมมากกว่านี้ และการกำหนดหน้าที่การทำงานของ สทท.ให้มีความชัดเจน
โดยในรายละเอียดต้องการให้ปรับสัดส่วนการโหวตคะแนน ระหว่าง กรุงเทพฯ และ ต่างจังหวัด เพื่อป้องการบล็อกโหวต เพราะปัจจุบันใช้สัดส่วน 13 เสียง ต่อ 13 เสียง เท่ากัน ขณะที่ต่างจังหวัดหากนับจำนวนสมาชิกย่อมมากกว่าในกรุงเทพฯอยู่แล้ว ส่วนคุณสมบัติของผู้จะขึ้นดำรงตำแหน่งประธาน สทท.ต้องเป็นตัวแทนจากสมาคมในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ไม่ใช่เป็นนิติบุคคล เพราะเชื่อว่าในนามสมาคม จะทำงานด้านการประสานงานได้ดีกว่า
“ปัญหาขณะนี้ คือ สทท.ไม่สามารถเป็นตัวแทนเอกชนภาคธุรกิจการท่องเที่ยวได้อย่างแท้จริง เพราะขาดความร่วมมือกัน ทำให้ปัญหาในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไม่สามารถเข้าสู่ระบบการจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่มีการตั้ง สทท.การเลือกตั้งประธานทุกครั้ง คะแนนเสียงจากต่างจังหวัดจะดีกว่า ทั้งที่บางสมาคมมีจำนวนสมาชิกก็น้อย การทำงานก็เฉพาะกลุ่ม ไม่ได้ดูภาพรวมทั้งอุตสาหกรรม ส่งผลให้ผลงานของ สทท.ที่ออกมาขณะนี้ไม่เป็นกลางเท่าที่ควร และไม่สามารถแก้ไขปัญหาของอุตสาหกรรมนี้ในระดับชาติได้”
อย่างไรก็ตาม ต้องการให้ สทท.จัดเวทีอภิปรายร่วมกับเฟสต้า เพื่อแสดงให้เห็นว่า ภาคเอกชนมีการร่วมกันทำงานอย่างแท้จริง แต่ต้องมีฝ่ายที่สาม มาร่วมเป็นพยาน เพราะที่ผ่านมาเฟสต้า พยายามชี้แจงปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ซึ่งตรงนี้ถือเป็นปัญหาใหญ่ ที่ทำให้การทำงานในภาคเอกชนไม่เกิดศักยภาพ
ทางด้าน นายกงกฤช หิรัญกิจ ประธาน สทท.กล่าวว่า สทท.เปิดเวทีให้ทุกฝ่ายแสดงความคิดเห็นอยู่แล้ว ดังนั้น หาก เฟสต้า มีความจริงใจกับการแก้ไขปัญหาให้แก่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ก็ควรที่จะเข้ามาสู่ระบบนี้ และ ใช้เวทีนี้แสดงความคิดเห็นให้เต็มที่ ที่ผ่านมา สทท.รับฟังทุกข้อเสนอแนะ หากสิ่งใด ที่เฟสต้าเห็นว่าดี เราก็หยิบมาพิจารณา เช่น ปัญหาการใช้ลิขสิทธิ์เพลง หรือเรื่องการกำหนดช่วงเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นต้น ซึ่งการที่ทุกฝ่ายมีความคิดเห็นที่แตกต่างไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เมื่อเวทีให้ทำงานโดยมีกฎหมายรองรับ ทุกคนก็ควรเข้ามาเล่นกันในกติกา ไม่จำเป็นต้องให้บุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง