ไลอ้อน ชี้ สมรภูมิตลาดผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้นแข่งเดือด รับอานิสงส์ไลฟ์สไตล์คนไทยเปลี่ยน แยกอยู่ลำพังตามคอนโด ทาวน์เฮาส์ จำนวนครัวเรือน 5 ปี พุ่งเป็น 20 ล้านครัวเรือน กระตุ้นตลาดโตพรวด ปั้น “ลุค” บุกตลาดน้ำยาทำความสะอาดพื้น ชูจุดขายฆ่าเชื้อโรค ระเบิดโฆษณาสร้างการรับรู้ทะลวงแม่บ้านรุ่นใหม่
นายบุญฤทธิ์ มหามนตรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลอ้อน ประเทศไทย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ในเครือสหพัฒน์ เปิดเผยกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า สภาพตลาดผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดในครัวเรือน ปัจจุบันนี้มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่า ในปี 2549 ตลาดรวมมีอัตราการเติบโตมากถึง 13% หรือมีมูลค่า 1,700 ล้านบาท แบ่งเป็นน้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำ มูลค่า 833 ล้านบาท หรือคิดเป็น 49% ของตลาดรวม ส่วนน้ำยาทำความสะอาดสุขภัณฑ์ 85 ล้านบาท สัดส่วน 5% และน้ำยาทำความสะอาดกระจก 85 ล้านบาท สัดส่วน 5% ตลาดน้ำยาทำความสะอาดครัว มูลค่า 34 ล้านบาท
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ตลาดผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดในครัวเรือน มีอัตราการเติบโตสูง หรือเป็นตัวเลขสองหลัก เพราะจำนวนครัวเรือนของไทยมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กระทั่งปัจจุบันจำนวนครัวเรือนได้เพิ่มสูงขึ้นถึง 20 ล้านครัวเรือนแล้ว อีกทั้งวิถีชีวิตของคนไทยได้เปลี่ยนแปลงไป โดยครอบครัวจะมีขนาดเล็กลง คนรุ่นใหม่มีไลฟ์สไตล์เร่งรีบในชีวิตประจำวัน จึงนิยมที่จะอยู่คอนโด หรือ ทาวน์เฮาส์ กันมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดผลิตภัณฑ์นี้เติบโตตามไปด้วย
ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อตอกย้ำใต้สโลแกน “คราบสยบ...เมื่อพบลุค” และสร้างการรับรู้ผลิตภัณฑ์ลุคให้มากยิ่งขึ้น โดยจุดเด่นของลุคจะเน้นการเป็นผลิตภัณฑ์น้ำยาทำความสะอาดพื้นฆ่าเชื้อโรคเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันมีด้วยกัน 2 สูตร ได้แก่ สูตรฆ่าเชื้อโรค (Germ Killer) และสูตรดักจับฝุ่น (Dust Lock) เจาะกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นกลุ่มแม่บ้านทันสมัย หรือคนรุ่นใหม่ที่ห่วงใยในเรื่องของความสะอาด
นายบุญฤทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มตลาดน้ำยาทำความสะอาดพื้น จะยังคงมีการแข่งขันที่รุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรับรู้แก่ผู้บริโภค ส่วนการทำโปรโมชันไม่รุนแรงมากนัก แต่จะเป็นการชูความโดดเด่นคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพการทำความสะอาด การฆ่าเชื้อโรค หรือกระทั่งกลิ่น ซึ่งเป็นปัจจัยการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค
สำหรับสภาพตลาดน้ำยาทำความสะอาดพื้นในปี 2550 มีอัตราการเติบโต 7% หรือมีมูลค่า 520 ล้านบาท จากในปี 2549 มีมูลค่า 459 ล้านบาท ซึ่งมีแบรนด์ มาจิคลีน เป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 36% รองลงมา คือ แอ๊กซี่ 24% กีวี คลีน 17% วิซ 10% และอื่นๆ 13%
นายบุญฤทธิ์ มหามนตรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลอ้อน ประเทศไทย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ในเครือสหพัฒน์ เปิดเผยกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า สภาพตลาดผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดในครัวเรือน ปัจจุบันนี้มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่า ในปี 2549 ตลาดรวมมีอัตราการเติบโตมากถึง 13% หรือมีมูลค่า 1,700 ล้านบาท แบ่งเป็นน้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำ มูลค่า 833 ล้านบาท หรือคิดเป็น 49% ของตลาดรวม ส่วนน้ำยาทำความสะอาดสุขภัณฑ์ 85 ล้านบาท สัดส่วน 5% และน้ำยาทำความสะอาดกระจก 85 ล้านบาท สัดส่วน 5% ตลาดน้ำยาทำความสะอาดครัว มูลค่า 34 ล้านบาท
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ตลาดผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดในครัวเรือน มีอัตราการเติบโตสูง หรือเป็นตัวเลขสองหลัก เพราะจำนวนครัวเรือนของไทยมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กระทั่งปัจจุบันจำนวนครัวเรือนได้เพิ่มสูงขึ้นถึง 20 ล้านครัวเรือนแล้ว อีกทั้งวิถีชีวิตของคนไทยได้เปลี่ยนแปลงไป โดยครอบครัวจะมีขนาดเล็กลง คนรุ่นใหม่มีไลฟ์สไตล์เร่งรีบในชีวิตประจำวัน จึงนิยมที่จะอยู่คอนโด หรือ ทาวน์เฮาส์ กันมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดผลิตภัณฑ์นี้เติบโตตามไปด้วย
ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อตอกย้ำใต้สโลแกน “คราบสยบ...เมื่อพบลุค” และสร้างการรับรู้ผลิตภัณฑ์ลุคให้มากยิ่งขึ้น โดยจุดเด่นของลุคจะเน้นการเป็นผลิตภัณฑ์น้ำยาทำความสะอาดพื้นฆ่าเชื้อโรคเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันมีด้วยกัน 2 สูตร ได้แก่ สูตรฆ่าเชื้อโรค (Germ Killer) และสูตรดักจับฝุ่น (Dust Lock) เจาะกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นกลุ่มแม่บ้านทันสมัย หรือคนรุ่นใหม่ที่ห่วงใยในเรื่องของความสะอาด
นายบุญฤทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มตลาดน้ำยาทำความสะอาดพื้น จะยังคงมีการแข่งขันที่รุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรับรู้แก่ผู้บริโภค ส่วนการทำโปรโมชันไม่รุนแรงมากนัก แต่จะเป็นการชูความโดดเด่นคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพการทำความสะอาด การฆ่าเชื้อโรค หรือกระทั่งกลิ่น ซึ่งเป็นปัจจัยการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค
สำหรับสภาพตลาดน้ำยาทำความสะอาดพื้นในปี 2550 มีอัตราการเติบโต 7% หรือมีมูลค่า 520 ล้านบาท จากในปี 2549 มีมูลค่า 459 ล้านบาท ซึ่งมีแบรนด์ มาจิคลีน เป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 36% รองลงมา คือ แอ๊กซี่ 24% กีวี คลีน 17% วิซ 10% และอื่นๆ 13%