xs
xsm
sm
md
lg

NC ชูคุณภาพชีวิตสู้คอนโดฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่งฯ แจงแผนลงทุนโครงการใหม่ ระบุปี 2551 เปิดโปรเจกต์เดียวโซนลำสาลี รูปแบบที่อยู่อาศัยแนวราบผสมผสาน ราคา 1-3 ล้านบาท มูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท เชื่อสตอกบ้านในมือจากโครงการเดิมรวมโครงการใหม่ สามารถรองรับความต้องการลูกค้าได้ตลอดปี เปิดกลยุทธ์ทางการตลาด งัดตำราสู้โครงการคอนโดมิเนียม ผ่านการจัดอีเวนต์ ให้ข้อมูลข่าวสาร เปรียบเทียบคุณภาพชีวิต และการอยู่อาศัยในระยะยาว หวังเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้าแนวสูง เพิ่มส่วนแบ่งลูกค้าในตลาดแนวสูงอายุ 30 ปีขึ้นไป เล็งเป้ายอดขายปีหนู 1,900 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้1,000 ล้านบาท เชื่อประกาศใช้กฎหมายเอสโครว์แอกเคานต์ กระทบรายใหม่-รายเล็ก ที่สภาพคล่องไม่ดี

นายสมเชาว์ ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในปีที่ผ่านมา ค่อนข้างชะลอตัว ในขณะที่บริษัทมีการเปิดตัวโครงการใหม่หลายโครงการ ทำให้ยังมีสินค้าคงค้าง (สตอก) บ้านในโครงการต่างๆ เหลือขายที่พอจะรองรับความต้องการของลูกค้าได้ตลอดทั้งปี ดังนั้น แผนในปี 2551 บริษัทจะเปิดตัวโครงการที่น้อยลงจากปีที่ผ่านมา คาดว่า จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่เพียง 1 โครงการ ในย่านลำสาลี ซึ่งบริษัทมีความชำนาญและมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอยู่เป็นจำนวนมาก

โดยรูปแบบของโครงการ จะเป็นการผสมผสานทั้งบ้านเดี่ยวราคา 2-3 ล้านบาท บ้านแฝดราคา2 ล้านบาท และทาวน์เฮาส์ราคากว่า 1 ล้านบาท มูลค่าขายโครงการประมาณ 400-500 ล้านบาท

สำหรับเป้าหมายด้านยอดขายในปีนี้ ตั้งเป้าไว้ประมาณ 1,900 ล้านบาท และคาดว่า จะมียอดรับรู้รายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยยอดรับรู้รายได้ดังกล่าวจะมาจากสตอกยอดขายเดิมจากปีที่ผ่านมา ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 300-400 ล้านบาท และอีกส่วนหนึ่งจะมาจากยอดขายจากโครงการเดิมและใหม่ในปีนี้ประมาณ 500-600 ล้านบาท

ส่วนกรณีที่รัฐบาลจะมีการประกาศใช้กฎหมายประกันเงินดาวน์ หรือ Escrow Account ที่จะมีการประกาศใช้ในช่วงปลายไตรมาส 1-2 นี้ คาดว่า จะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดที่อยู่อาศัยมากนัก เนื่องจากมีบ้านพร้อมอยู่คงค้างในตลาดจำนวนมาก ประกอบกับผู้ประกอบการเองก็มีการสร้างบ้านพร้อมอยู่เป็นส่วนใหญ่ ส่วนบ้านสั่งสร้างที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวนั้น ปัจจุบันมีจำนวนไม่มากนัก ดังนั้น ตลาดโดยรวมจึงไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากมายนัก

“ผลกระทบโดยตรงจากการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าว โดยมากจะเป็นตลาดบ้านสั่งสร้าง และผู้ประกอบการรายใหม่ และรายเล็กที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ ที่อาจจะมีสภาพคล่องที่ไม่ดี ส่วนผู้ประกอบการรายใหญ่ ผู้ประกอบการรายกลาง ที่แบรนด์มีความมั่นคง เป็นที่ยอมรับ และบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ จะไม่ได้รับผลกระทบมาก เพราะผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นอยู่เดิมแล้ว” นายสมเชาว์ กล่าว

ด้าน นายสมนึก ตันฑเทอดธรรม รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวถึงแผนการตลาดของบริษัท ว่า จะเน้นการทำตลาดเชิงรุก เข้าถึงกลุ่มลูกค้าโดยตรง เน้นการเพิ่มส่วนแบ่งในกลุ่มลูกค้าตลาดแนวสูง (อาคารชุดหรือคอนโดมิเนียม) ให้มากขึ้น โดยจะสร้างพฤติกรรมใหม่ให้กลุ่มลูกค้า ผ่านการให้ข้อมูล เพื่อให้ลูกค้ามองไปถึงคุณภาพชีวิตของการอยู่อาศัยในอนาคต เพื่อเปรียบเทียบและประกอบการตัดสินใจในการซื้อที่อยู่อาศัย

แต่อย่างไรก็ตาม การเข้าไปเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มลูกค้าตลาดแนวสูง ทางบริษัทจะต้องใช้ระยะเวลาในการสร้างข้อเปรียบเทียบ และการยอมรับของลูกค้า และต้องคำนึงถึงกลุ่มลูกค้าด้วยว่า กลุ่มใดที่จะสามารถดึงกลับมาได้และกลุ่มใดที่ทำได้ยากลำบาก คาดว่า กลุ่มที่น่าจะสามารถเปลี่ยนแนวคิดในการตัดสินใจซื้อได้ ส่วนใหญ่จะมีอายุระหว่าง 30 ปีขึ้นไป หรือกลุ่มที่อยู่ระหว่างการสร้างครอบครัว ส่วนกลุ่มที่เริ่มต้นทำงานใหม่นั้น จะยังคงมีพฤติกรรมที่ให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายใกล้เมือง เข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวได้ง่าย

“วิธีการโน้มน้าวพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้า คงต้องจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง บ่อยๆ ครั้ง ควบคู่ไปกับการขยายฐานลูกค้าเดิมให้มีการสื่อสารต่อไปยังลูกค้ากลุ่มใหม่ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้าในมือกว่า 10,000 ราย จากโครงการเดิมที่ปิดการขายไปก่อนหน้านี้ ส่วนลูกค้าใหม่ บริษัทจะเน้นในเรื่องของการให้ความรู้ ให้ทางเลือกในการตัดสินใจ โดยหยิบเรื่องของรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้า ทำเลของการพัฒนาโครงการ และนำเสนอผ่านการจัดกิจกรรม ส่วนการแข่งขันในตลาดรวมปี 2551 นี้ คาดว่า ผู้ประกอบการจะยังเน้นเรื่อง การลด แลก แจก แถม เป็นการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้าเหมือนปีที่ผ่านๆ มา”
กำลังโหลดความคิดเห็น