ผู้นำออสเตรเลียเห็นพ้องในวันจันทร์ (15 ธ.ค.) ว่าจะต้องปรับกฎหมายควบคุมอาวุธปืนเข้มงวดขึ้น หลังมือปืนพ่อ-ลูก ก่อเหตุกราดยิงที่หาดบอนได ในนครซิดนีย์ ขณะผู้คนจำนวนมากเริ่มฉลองเทศกาลฮานุกกะห์ของชาวยิวเมื่อวันอาทิตย์ (14) จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 15 คน และถือเป็นเหตุกราดยิงครั้งเลวร้ายที่สุดในแดนจิงโจ้ในรอบเกือบ 3 ทศวรรษ
ในบรรดาผู้เสียชีวิต มีทั้งเด็กหญิงวัย 10 ปี, ผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวโดยนาซีเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และ แรบไบ หรือนักการศาสนายิว ในท้องถิ่น ขณะที่ผู้ได้รับบาดเจ็บถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลมี 42 คน โดยเหยื่อทั้งหมดมีอายุระหว่าง 10-87 ปี
นายกรัฐมนตรีแอนโทนี แอลเบนีส เรียกประชุมผู้นำรัฐและดินแดนต่างๆ ของออสเตรเลีย และที่ประชุมเห็นพ้องให้ปรับปรุงกฎหมายควบคุมอาวุธปืนทั่วประเทศให้เข้มงวดขึ้น
สำนักนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียแถลงว่า จะมีการพิจารณาเพื่อปรับปรุงระเบียบกฎเกณฑ์การตรวจสอบภูมิหลังผู้ครอบครองปืน ห้ามบุคคลที่ไม่ได้ถือสัญชาติออสเตรเลียได้รับใบอนุญาตครอบครองปืน และจำกัดจำนวนอาวุธปืนที่บุคคลสามารถครอบครองได้ รวมทั้งประเภทอาวุธปืนที่ถูกต้องตามกฎหมาย ตลอดตจนห้ามผู้ที่ไม่ใช่พลเมืองออสเตรเลียนครอบครองอาวุธปืนที่ผ่านการดัดแปลง
ทั้งนี้ การกราดยิงถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นน้อยมากในออสเตรเลีย ภายหลังจากเหตุการณ์ในปี 1996 ที่มีการกราดยิงในเมืองพอร์ตอาร์เธอร์ และมีผู้เสียชีวิต 35 คน
เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การปฏิรูปครั้งใหญ่และกลายเป็นมาตรฐานระดับทองคำซึ่งเป็นที่รับรองกันทั่วโลก โดยครอบคลุมทั้งแผนการจัดซื้ออาวุธปืนคืนจากประชาชนผู้ครอบครอง การจดทะเบียนอาวุธปืนทั่วประเทศ และการปราบปรามการครอบครองปืนแบบกึ่งอัตโนมัติ
แต่เหตุการณ์เมื่อวันอาทิตย์ทำให้เกิดคำถามว่า เหตุใดพ่อ-ลูกที่ก่อเหตุ ซึ่งทางบริษัทแพร่ภาพและกระจายเสียงออสเตรเลีย (เอบีซี) ของทางการออสเตรเลียรายงานว่า อาจมีส่วนเชื่อมโยงกับกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) นั้น จึงสามารถมีอาวุธปืนในครอบครอง โดยตามรายงานข่าวระบุว่า มือปืนคนพ่อมีใบอนุญาตครอบครองปืนมาตั้งแต่ปี 2015 และเป็นเจ้าของปืนที่จดทะเบียนจำนวน 6 กระบอก
เวลานี้ ตำรวจยังไม่มีการระบุเหตุจูงใจของการกราดยิงครั้งนี้ แม้บอกได้ว่า เป็นการจงใจสร้างความหวาดกลัวในหมู่ชาวยิวก็ตาม
แอลเบนีสระบุว่า การกราดยิงครั้งนี้เป็นการกระทำของปีศาจ การต่อต้านชาวยิว และการก่อการร้ายต่อออสเตรเลีย
ทั้งนี้ มือปืนมุ่งโจมตีการฉลองเทศกาลฮานุกกะห์ของชาวยิวที่ดึงดูดผู้คนกว่า 1,000 คนสู่ชายหาดบอนได ซึ่งเป็นหาดทรายยอดนิยมในซิดนีย์
ตำรวจแถลงว่า มือปืน 1 ใน 2 ที่ถูกยิงตายในที่เกิดเหตุ ซึ่งทำให้ยอดผู้เสียชีวิตรวมเพิ่มเป็น 16 รายนั้น อายุ 50 ปีและเป็นพ่อของมือปืนอีกคนที่อายุ 24 ปี ซึ่งถูกยิงอาการสาหัสและรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
ตำรวจไม่ได้เปิดเผยชื่อผู้ต้องสงสัย ขณะที่เจ้าหน้าที่ความมั่นคงเผยว่า ทางการรู้จักตัวและมีประวัติข้อมูลของมือปืนคนหนึ่ง แต่บุคคลผู้นี้ยังไม่เข้าข่ายเป็นภัยคุกคามเฉพาะหน้า
อย่างไรก็ดี เอบีซีและสื่อหลายสำนักต่างรายงานระบุว่า มือปืนพ่อ-ลูกคู่นี้ชื่อว่า ซาจิด อัครัม และนาวีด อัครัม ตามลำดับ และโทนี เบิร์ก รัฐมนตรีมหาดไทย แถลงว่า ซาจิดเดินทางมายังออสเตรเลียในปี 1996 โดยใช้วีซ่านักศึกษา ส่วนนาวีดเกิดในออสเตรเลีย
ตำรวจไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดของอาวุธที่มือปืนใช้ แต่ภาพวิดีโอจากสถานที่เกิดเหตุพบว่า ทั้งคู่ใช้ปืนที่ดูเหมือนเป็นปืนพกและปืนไรเฟิลระบบลูกเลื่อน
เอบีซีนิวส์ หรือก็คือฝ่ายข่าวของเอบีซี รายงานว่า บนรถของมือปืนมีธงไอเอส 2 ผืน ตำรวจยังพบอุปกรณ์ระเบิดแสวงเครื่องในรถคันหนึ่งที่จอดใกล้ชายหาดซึ่งมีแนวโน้มว่า เป็นฝีมือมือปืนพ่อ-ลูกคู่นี้
ในวันจันทร์ (15 ธ.ค.) ผู้คนพากันไปไว้อาลัยและวางดอกไม้ที่สถานที่รำลึกชั่วคราวที่ประดับด้วยธงชาติออสเตรเลียและอิสราเอลบนหาดบอนได โดยมีตำรวจและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเอกชนของชาวยิวลาดตระเวนรักษาความสงบเรียบร้อย
แอลเบนีสเผยว่า ผู้นำทั่วโลกที่รวมถึงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แสดงความเสียใจต่อครอบครัวเหยื่อ
ทว่า นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ได้กล่าวหารัฐบาลออสเตรเลียว่า ราดน้ำมันบนกองไฟ จากการประกาศสนับสนุนการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ ภายหลังจากตัวเนทันยาฮูส่งกองทหารอิสราเอลเข้าไปก่อเหตุสยดสยองเป็นแรมปีต่อชาวปาเลสไตน์ในดินแดนกาซา
ขณะเดียวกัน ในระหว่างเกิดเหตุกราดยิงที่หาดบอนได ซึ่งกินเวลาราว 10 นาที มีภาพวิดีโอซึ่งผู้เห็นเหตุการณ์ถ่ายเอาไว้ เผยให้เห็นชายคนหนึ่งที่อยู่ในบริเวณนั้นได้เข้าไปแย่งปืนจากผู้ก่อเหตุ และขับไล่คนร้ายผู้นี้ล่าถอยไป ทว่าต่อมาเขาถูกยิง 2 นัด
สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ชายคนดังกล่าวที่ได้รับการยกย่องเป็นวีรบุรุษเนื่องจากช่วยปกป้องชีวิตผู้คนจำนวนมาก เป็นพ่อค้าขายผลไม้ชื่ออาเหม็ด อัล อาเหม็ด ซึ่งถูกส่งตัวเข้ารับการผ่าตัดเป็นที่เรียบร้อย และมีเพจหนึ่งที่เปิดรับบริจาคเพื่อนำเงินมอบให้ชายผู้นี้สามารถระดมเงินได้กว่า 1 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือกว่า 20 ล้านบาท
(ที่มา: เอเอฟพี/รอยเตอร์)


