xs
xsm
sm
md
lg

ความช่วยเหลือถึงมือผู้ประสบภัยมากขึ้น แต่ยอดขายจากฝนถล่ม 3 ชาติอาเซียนยังพุ่งขึ้นเป็นเกือบ 800

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพถ่ายจากโดรนในวันจันทร์ (1 ธ.ค.) แสดงให้เห็นบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายหนักในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมและดินถล่ม ในเขตเมืองบาเลมบายัน จังหวัดสุมาตราตะวันตก ของอินโดนีเซีย
ยอดผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วมและดินถล่มอันเนื่องมาจากฝนตกหนักเพราะฤทธิ์พายุใน 3 ชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, และไทย เพิ่มสูงขึ้นเป็นเกือบ 800 รายแล้ว ตามรายงานของรอยเตอร์ที่อ้างข้อมูลของพวกเจ้าหน้าที่ในวันจันทร์ (1 ธ.ค.) โดยเฉพาะที่แดนอิเหนา ซึ่งยอดผู้ดับชีพทะลุหลัก 600 คน ขณะพวกเจ้าหน้าที่กู้ภัยใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อทำให้ถนนหนทางกลับมาใช้การได้ โดยที่สภาพอากาศก็กำลังกระเตื้องดีขึ้น




อินโดนีเซีย มาเลเซียและไทย เผชิญภัยพิบัติเลวร้ายในวงกว้าง หลังพายุโซนร้อนลูกหนึ่งก่อตัวในช่องแคบมะละกาที่เกิดขึ้นน้อยครั้งมาก โหมกระพือฝนตกหนักและลมแรงซัดถล่มดินแดนของทั้ง 3 ชาติเป็นเวลาราวๆ 1 สัปดาห์ สร้างความยากลำบากในการเข้าไปช่วยเหลือประชาชนที่ติดค้างอยู่ในพื้นที่เนื่องจากเกิดดินโคลนถล่มและน้ำท่วมสูง

ในประเทศไทยมีรายงานผู้เสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 176 ราย ส่วนที่มาเลเซียยังคงยืนอยู่ที่ 3 ราย ขณะที่ยอดตายในอินโดนีเซียไต่ขึ้นเป็น 604 คนในวันจันทร์ (1) แล้วยังมีผู้สูญหายอีก 464 คน ทั้งนี้ตามตัวเลขจากทางการของแต่ละประเทศ

ที่เมืองปาเลมบายัน ในจังหวัดสุมาตราตะวันตก ของอินโดนีเซีย อากาศที่ดีขึ้นโดยมีแสงอาทิตย์สาดส่องและมองเห็นท้องฟ้าสีคราม ผู้คนหลายร้อยคนกำลังทำความสะอาดเก็บกวาดดินโคลน, ต้นไม้ล้ม, และซากหักพังต่างๆ ออกจากถนนหนทาง ขณะที่ชาวบ้านบางรายพยายามค้นหากอบกู้สิ่งของมีค่า อย่างเช่นเอกสารต่างๆ และรถจักรยานยนต์จากบ้านเรือนซึ่งได้รับความเสียหายของพวกตน

พวกผู้ชายในเครื่องแต่งกายชุดพราง กระจายกำลังกำลังออกค้นหาสิ่งของจากกองหักพังของเสาที่บิดเบี้ยว แผ่นคอนกรีต และหลังคาสังกะสี ขณะที่รถกระบะซึ่งเต็มไปด้วยผู้คน แล่นออกไปทั่วๆ เพื่อค้นหาสมาชิกครอบครัวที่ยังสูญหายตลอดจนแจกน้ำให้กับผู้คน โดยที่บางคนต้องลุยโคลนที่สูงถึงเข่า

รัฐบาลอินโดนีเซียบอกว่า กำลังพยายามกอบกู้ซ่อมแซมความเสียหายเฉพาะหน้า ซึ่งรวมไปถึงการเคลียร์ถนนหนทาง, สะพาน, และบริการด้านการสื่อสาร โดยที่สำนักงานภัยพิบัติของแดนอิเหนาให้ตัวเลขว่า มีบ้านเรือนได้รับความเสียหายไปมากกว่า 28,000 หลัง และประชาชนที่เดือดร้อนมีราวๆ 1.5 ล้านคน

ประธานาธิบดีบราโบโว ซูดเบียนโต ของอินโดนีเซีย ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมทั้ง 3 จังหวัดที่ประสบภัยพิบัติในวันจันทร์ (1) และกล่าวยกย่องชมเชยจิตใจของชาวบ้านในพื้นที่ในการเผชิญหน้ากับสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็นความวิบัติหายนะ

ความเสียหายในทั้ง 3 ประเทศคราวนี้ เกิดขึ้นหลังจากระยะเวลาหลายเดือนก่อนหน้านั้นภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ต้องประสบกับสภาพภูมิอากาศที่พลิกผันและสร้างความเสียหายรุนแรง ซึ่งรวมทั้งการที่พายุไต้ฝุ่นหลายลูกทยอยกันถล่มใส่ฟิลิปปินส์และเวียดนาม ตลอดจนทำให้เกิดน้ำท่วมบ่อยครั้งและยืดเยื้อในบริเวณอื่นๆ

พวกนักวิทยาศาสตร์เตือนว่า สภาพอากาสแบบสุดโต่งจะเกิดบ่อยขึ้นเรื่อยๆ โดยเป็นผลมาจากการที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น

สถานการณ์ของวันจันทร์ นับว่ากระเตื้องขึ้นจากวันอาทิตย์ (30 พ.ย.) ซึ่งแม้ระดับน้ำลดลงแล้ว แต่พวกหน่วยช่วยเหลือและกู้ภัยในประเทศเหล่านี้ก็ยังประสบความลำบากในการเข้าถึงพื้นที่น้ำท่วมหลายๆ จุด

ใน 3 จังหวัดบนเกาะสุมาตราของแดนอิเหนา หลายพื้นที่ยังถูกตัดขาดเนื่องจากถนนใช้สัญจรไม่ได้ ขณะที่ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโครงสร้างพื้นฐานทางโทรคมนาคมเป็นอุปสรรคต่อการสื่อสาร ทีมกู้ภัยและช่วยเหลือต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ส่งมอบความช่วยเหลือแก่ประชาชนตามพื้นที่ต่างๆที่การสัญจรทางถนนเข้าไม่ถึง

ขณะที่พวกที่อยู่ในพื้นที่อื่น มีรายงานชาวบ้านปล้นสะดมเสบียงอาหาร เนื่องจากความสิ้นหวังในรื่องที่จะได้รับสิ่งของบรรเทาทุกข์

สำหรับที่มาเลเซีย สำนักงานภัยพิบัติของแดนเสือเหลืองรายงานในวันจันทร์ว่า ยังคงเหลือประชาชนอยู่ในศูนย์อพยพราว 11,600 คน โดยที่ทางสำนักงานยังคอยระแวดระวังว่าจะเกิดน้ำท่วมระลอกสองและระลอกสามหรือไม่

ในส่วนประเทศไทย ในวันจันทร์ได้มีการปรับเพิ่มตัวเลขผู้เสียชีวิตให้สูงขึ้นอีกเล็กน้อยเป็น 176 คน จากอุทกภัยซึ่งสร้างความเสียหายให้แก่ 8 จังหวัดในภาคใต้ และมีผู้เดือดร้อนราวๆ 3 ล้านคน ตลอดจนทำให้ต้องมีการระดมกำลังทหารจำนวนมากเข้ามาช่วยเหลือ

ที่จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่ประสบภัยหนักหน่วงที่สุดโดยที่มีผู้เสียชีวิตรวม 138 คน รัฐบาลแถลงว่าน้ำประปาสามารถกลับมาให้บริการได้ใหม่แล้วราว 85%

ความพยายามในการฟื้นฟูของไทยจำนวนมากมุ่งเน้นไปที่อำเภอหาดใหญ่ ซึ่งเป็นจุดที่ประสบความเดือดร้อนหนักที่สุด หลังจากเมื่อวันที่ 21 พ.ย.เกิดฝนตกหนักที่นี่ถึง 335 ม.ม. ซึ่งว่ากันว่าเป็นสถิติฝนตกในวันเดียวที่มากที่สุดในรอบ 300 ปี หลังจากนั้นก็ยังมีฝนกระหน่ำอย่างต่อเนื่องอีกหลายวัน

(ที่มา: รอยเตอร์)
กำลังโหลดความคิดเห็น