xs
xsm
sm
md
lg

รุกรบด้วยปัญญา ไม่ใช่อาวุธ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การหลุดของคลิปเสียงในลักษณะนี้ไม่อาจมองเพียงในเชิง “เหตุการณ์ทางการเมือง” แต่ต้องตีความในบริบทของสงครามหลากมิติลูกผสมทั้งที่เป็นวิธีทางทหารและไม่ใช่ทางทหาร ซึ่งข้อมูล ข่าวสารและเสียงกลายเป็น สรรพาวุธเชิงข้อมูล (Information Weapons) ที่เขย่าความมั่นคงของรัฐและตำแหน่งเก้าอี้ของนายกรัฐมนตรีไทยได้อย่างรุนแรงกว่าระเบิดในสนามรบ ...

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้ง ซูเปอร์โพล และศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยจอร์ชทาวน์ ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity & Risk Management) ศิษย์เก่าหลักสูตรเรียนร่วมคณะนายทหารเสนาธิการร่วม กระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา (Joint Chiefs of Staff, JCS) จากมหาวิทยาลัยจอร์ชทาวน์ วอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา ได้ชี้ให้เห็นว่า คลิปเสียงทำให้ผู้นำกัมพูชาชนะขาดลอยในยุทธการก่อภัยคุกคามยุคใหม่ต่อความมั่นคงของประเทศไทยและต่อเสถียรภาพความสงบสุขของประชาชนคนไทย โดยยังไม่มีการสั่งยิงจากผู้นำประเทศกัมพูชา

ผู้ก่อตั้งซูเปอร์โพล กล่าวว่า ที่น่าเป็นห่วงคือ หากวันนี้เราคนไทยยังตั้งรับตั้งรบกันอยู่แบบนี้ วันพรุ่งนี้เราจะไม่มีอะไรให้ปกป้องอีกแล้ว เพราะ การรบของโลกยุคใหม่ ชนะได้ด้วยข้อมูล ไม่ใช่กระสุนเพียงอย่างเดียว และ นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในยุคนี้ต้องไม่ใช่เพียงผู้บริหารราชการแผ่นดินแต่ต้องเป็นแม่ทัพแห่งยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติที่ไม่ต้องยิงปืนแม้แต่นัดเดียว ประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเราจะชนะสงครามยุคใหม่ได้ถ้าหากเรา “รุกรบด้วยปัญญา แทนที่จะตอบโต้ด้วยการโชว์สรรพาวุธ ยุทโธปกรณ์”

ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งซูเปอร์โพล กล่าวต่อด้วยว่า กรณีคลิปเสียงผู้นำไทย-กัมพูชา คือคลื่นเสียงทำลายล้างในสนามรบที่ไร้ควันปืนเป็นบทเรียนสำคัญยิ่งด้านความมั่นคงแห่งชาติ เพราะเสียงที่ถูกบันทึกไว้ในคลิปเสียงหนึ่ง อาจไม่ใช่เพียงแค่คำพูดสนทนาของผู้นำสองประเทศ แต่คือ แรงอานุภาพสั่นสะเทือนในสมรภูมิของสงครามยุคสมัยใหม่นี้ ซึ่งมิได้รบกันด้วยกองทัพ แต่รบกันด้วยการรับรู้ ความไว้วางใจ และอำนาจทางข้อมูล

“กรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย กับ สมเด็จฮุน เซน อดีตผู้นำกัมพูชา ซึ่งหลุดออกมาสู่สาธารณะนั้น ได้ก่อให้เกิดคำถามเชิงยุทธศาสตร์จำนวนมาก ทั้งในระดับความสัมพันธ์ทวิภาคี ความมั่นคงในภูมิภาค และความเชื่อมั่นของประชาชนต่อผู้นำของตนเอง” ผู้ก่อตั้ง ซูเปอร์โพล กล่าว

การหลุดของคลิปเสียงในลักษณะนี้ไม่อาจมองเพียงในเชิง “เหตุการณ์ทางการเมือง” แต่ต้องตีความในบริบทของสงครามหลากมิติลูกผสมทั้งที่เป็นวิธีทางทหารและไม่ใช่ทางทหาร ซึ่งข้อมูล ข่าวสารและเสียงกลายเป็น สรรพาวุธเชิงข้อมูล (Information Weapons) ที่เขย่าความมั่นคงของรัฐและตำแหน่งเก้าอี้ของนายกรัฐมนตรีไทยได้อย่างรุนแรงกว่าระเบิดในสนามรบ “คลิปเสียงนี้” สะท้อนช่องโหว่ของระบบความมั่นคงของประเทศไทยที่ไม่มีการป้องกันล่วงหน้าไม่ใช่แค่ทางไซเบอร์ แต่คือการขาดกลไกในการบริหารความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์เชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Communication Risk)

“ใครเป็นคนปล่อยคลิปซึ่งอาจจะไม่ใช่ไทยหรือกัมพูชา แต่คือ “มือที่สาม” ที่ต้องการสั่นคลอนความสัมพันธ์ในภูมิภาค เพราะเวลาและจังหวะการปล่อย ตรงกับช่วงที่อาเซียนกำลังหารือเรื่องความร่วมมือด้านความมั่นคงที่จะนำไปสู่การลดความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในเวทีภูมิภาค ที่ไทยอาจเสียความเป็น แกนกลางอาเซียน และกลายเป็นผู้ถูกกำกับเกมแทนที่จะเป็นผู้ออกแบบและคุมเกม” ผู้ก่อตั้งซูเปอร์โพล กล่าว

ผู้ก่อตั้งซูเปอร์โพล กล่าวต่อด้วยว่า กรณีคลิปเสียงนี้ตอกย้ำให้เห็นว่า ประเทศไทยยังขาด “หน่วยประเมินเชิงยุทธศาสตร์” ที่จะสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าและบริหารความเสี่ยงเชิงสื่อสารระดับผู้นำประเทศ และยังไม่มีกลไกแบบเดียวกับสำนักงานประเมินชั้นสุดยอด (Office of Net Assessment, ONA) กระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ที่สามารถแยกแยะได้ว่า “อะไรคือจุดอ่อนที่ศัตรูอาจโจมตีโดยไม่ต้องใช้ทหารและกระสุนปืนแม้แต่นัดเดียว และในอีกด้านหนึ่ง Cyber Command หรือ Fusion Center ของไทยยังไม่มีกลไกติดตาม วิเคราะห์ และจัดการ “วิกฤตภาพลักษณ์” ในลักษณะข้ามหน่วยงานได้แบบทันเวลาและเชิงลึกส่งผลให้สถาบันหลักของชาติถูกโจมตีบ่อย ๆ และอย่างต่อเนื่อง

“หากไทยไม่เร่งใช้ “เครื่องมือประเมินขั้นสุดยอด” และขาดการวิเคราะห์ตนเองเปรียบเทียบกับภัยคุกคาม และวางเกมระยะยาวให้เหนือกว่าคู่แข่ง ผลที่จะตามมาคือ ประเทศไทยอาจแพ้ในสนามรบที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเริ่มขึ้นเมื่อใด นี่คือการรบเชิงรุกในโลกไซเบอร์ก่อนสงครามระดับพื้นที่จริงจะเกิดขึ้น ดังนั้น Cyber Command จึงจำเป็นในการป้องกันเชิงรุกที่ไม่ใช่แค่ตอบโต้หลังถูกโจมตี เหมือนที่ประเทศไทยกำลังทำกันอยู่ในทุกวันนี้” ผู้ก่อตั้งซูเปอร์โพล กล่าว

ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา กล่าวยกตัวอย่างการรบยุคใหม่ระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนว่า สหรัฐอเมริกาใช้เครื่องมือที่สามารถมองจีนเมื่อ 40 ปีที่แล้วว่า จีนจะเป็นประเทศมหาอำนาจในยุคนี้ จีนจะไม่รบกับอเมริกาในรูปแบบดั้งเดิม แต่จะใช้เทคโนโลยี ข้อมูล เศรษฐกิจและอิทธิพลทางการทูตเป็นเครื่องมือรุกล้ำ ดังนั้น สหรัฐอเมริกาไม่รอให้จีนยิงกระสุนก่อนแต่สหรัฐฯ รุกล้อมด้วยการวางเกมระยะยาว เช่น จำกัดการส่งออกชิป การจัดตั้งพันธมิตรด้านความมั่นคงระหว่าง สหรัฐฯ อังกฤษ และออสเตรเลีย และการผลักดัน “Info-Pacific Strategy เพื่อปิดล้อมทำ “หมากล้อม” จีนในภูมิภาค

​นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกายังได้ออกแบบ Cyber Command (USCYBERCOM) มีหน้าที่ป้องกันและตอบโต้ภัยคุกคามทางไซเบอร์ทั้งในและนอกประเทศ ปัจจุบันยกระดับเป็น Combatant Command เทียบเท่ากองบัญชาการทหารภาคพื้น ดังนั้น Cybersecurity ของสหรัฐอเมริกาจึงเป็นหน่วยงานสำคัญด้านความมั่นคงปกป้องผลประโยชน์ชาติสหรัฐอเมริกาที่วางไว้ในระดับยุทธศาสตร์ทหารโดยตรง และอย่างกรณีการรบในยูเครน ก่อนที่รัสเซียจะเปิดฉากรุกรานยูเครน สหรัฐอเมริกาได้ใช้ Cyber Command ส่ง Hunt Forward Teams เข้าไปในยูเครนเพื่อสแกนระบบโครงสร้างพื้นฐานสำคัญและปิดช่องโหว่ป้องกันก่อนถูกรัสเซียโจมตี

​สำหรับประเทศไทย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งซูเปอร์โพล กล่าวว่า จากกรณีตัวอย่างบทเรียนจากสหรัฐอเมริกาข้างต้น สะท้อนมายังประเทศไทยว่า ถ้าหากเราประเมินศัตรูแค่ที่ตาเห็น ประเทศจะพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มรบ ปัญหาเชิงยุทธศาสตร์ที่ปรับใช้ได้จริงคืออาวุธใหม่ในสนามรบที่ไร้ปืน และนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยต้องไม่ใช่แค่ผู้บริหารประเทศ แต่คือ “แม่ทัพข้อมูล” และ “ผู้นำทางความมั่นคง” ที่ต้องกล้าออกคำสั่งเชิงรุกข้ามกระทรวง และที่น่าพิจารณา คือ หากรัฐไทยไม่ลงทุนในระบบข้อมูลและเครื่องมือพิเศษให้ก้าวล้ำสมัย ในวันนี้ ผลที่ตามมาคือ จะไม่มีระบบใดเหลือให้ปกป้องผลประโยชน์ชาติและความมั่นคงของชาติในวันหน้า

​กล่าวโดยสรุปคือ สงครามยุคสมัยนี้เป็นสงครามที่ไร้ปืน แต่เต็มไปด้วยพลังแห่งการทำลายล้างและสั่นคลอน เพราะภัยคุกคามยุคปัจจุบันไม่ได้เริ่มจากรถถังเคลื่อนที่ข้ามพรมแดน หากแต่เริ่มจาก “ข่าวโพสต์ คลิปเสียง ข้อมูลหลอกที่ส่งถึงมือประชาชนภายในเสี้ยววินาที เรากำลังเผชิญกับสงครามยุคใหม่ที่เรียกว่า สงครามหลากมิติลูกผสมแบบทหารและไม่ใช่ทางทหารที่แนบเนียนและต่อเนื่อง แนวทางข้อเสนอแนะคือ “ความมั่นคงแบบองค์รวมเชิงรุก โดยประเทศไทยต้องหลุดพ้นจากแนวคิด “รอให้ถูกรุกรานล้ำเข้ามาก่อน” แล้วค่อยตอบโต้ ซึ่งจะทำให้ไทยตกอยู่ในวงจรแห่งความพ่ายแพ้ในเชิงยุทธศาสตร์ ดังนั้น เราต้องเป็น ผู้กำหนดเกม โดยใช้ปัญญาและความเข้าใจเชิงระบบแทนการใช้กำลังเพียงด้านเดียว

ที่น่าพิจารณาคือ การใช้การประเมินขั้นสุดยอด (Net Assessment) เข้าถึงข้อมูลเปรียบเทียบศักยภาพตนเองกับคู่แข่งในทุกมิติ ทั้งการทหาร เศรษฐกิจ สังคม ข้อมูลและเทคโนโลยี โดยประเมินความสามารถของหน่วยงานไทยต่อการตอบโต้ภัยลูกผสมในทุกระดับ และวิเคราะห์พลังอ่อนแอของชาติ (Soft Spots) เช่น ช่องโหว่ในระบบข้อมูลหรือชุมชนชายแดนที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ สร้าง “ดัชนีความยืดหยุ่นระดับชาติ” ที่เทียบได้กับประเทศเพื่อนบ้านและภัยคุกคามที่เรากำลังเผชิญที่มีความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นด่านหน้าในสงครามที่ไร้ปืน เพราะความมั่นคงทางไซเบอร์ไม่ใช่เพียงการป้องกันระบบคอมพิวเตอร์ แต่คือ “รากฐานของ อธิปไตยไทยในยุคดิจิทัล”
กำลังโหลดความคิดเห็น