สื่อชื่อดังระดับโลกเผยแพร่รายงานเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ระบุกัมพูชาเริ่มสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด จากความขัดแย้งตามแนวชายแดนกับไทย การปิดด่านชายแดนและการไหลบ่ากลับประเทศของพวกแรงงาน กำลังก่อภัยคุกคามแก่เศรษฐกิจและบ่อนทำลายเสถียรภาพทางสังคม
The Diplomat เผยแพร่รายงานพาดหัว (Cambodia is Beginning to Feel the Economic Costs of the Border Conflict With Thailand หรือ กัมพูชากำลังเริ่มรู้สึกถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจจากความขัดแย้งตามแนวชายแดนกับไทย) เริ่มที่ ปอยเปย ด่านชายแดนใหญ่ที่สุดและพลุกพล่านที่สุดระหว่างกัมพูชาและไทย ครั้งหนึ่งเคยคึกคักและเต็มไปด้วยพลังงาน แต่เวลานี้ร่วงหล่นสู่ภาวะหลับใหล สะท้อนสถานภาพปัจจุบันในความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่าง 2 ชาติ ที่อยู่ในภาวะกระสับกระส่ายอันเนื่องจากการปิดด่านชายแดน ก่อความปั่นป่วนทางห่วงโซ่อุปทาน โรงแรมทั้งหลายต้องปิดบริการ ร้านอาหารเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ตลาดต่างๆเงียบเชียบและสูญเสียรายได้
รายงานของ The Diplomat ระบุว่าข้อพิพาทด้านชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทย ซึ่งลุกลามสู่การปะทะช่วงสั้นๆในช่วงปลายเดือนกรกฏาคม นำมาซึ่งการเปิดด่านชายแดนระหว่าง 2 ชาติ ผลก็คือมันทำให้การค้าทวิภาคีที่มีมูลค่า 1,045 ล้านดอลลาร์ในปี 2024 สะดุดลงอย่างฉับพลัน ทั้ง 2 ประเทศต่างพึ่งพากระแสการค้าทวิภาคีนี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายกัมพูชา การค้ากับไทยคิดเป็นสัดส่วนถึง 8% ของการค้าต่างประเทศ ส่วนใหญ่แล้วเป็นการนำเข้า ผิดกับไทย ที่สัดส่วนของกัมพูชา มีไม่ถึง 2% กระนั้นแม้ความสูญเสียทางการค้าไม่ก่อความเสียหายร้ายแรงในระดับมหภาค แต่มันก็ส่งผลกระทบในระดับจุลภาคเช่นกัน
ตามรายงานของสื่อแห่งนี้ บอกต่อว่าในบางภาคส่วนเศรษฐกิจของกัมพูชา ตลาดไทยถือว่ามีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมาก อิทธิพลของไทยสามารถพบเห็นหลักฐานได้อย่างชัดเจน เมื่อมองไปยังชั้นวางทั้งหลายตามซูเปอร์มาร์เก็ต สินค้าจากไทยคิดเป็นสัดส่วนถึง 45% ของสินค้านำเข้าที่จำเป็น และ 27% ของผลิตภัณฑ์อาหาร ในทางกลับกัน ตลาดกัมพูชาก็มีความสำคัญกับไทยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นมันเป็นตัวแทนของการส่งออกเครื่องดื่มเกือบ 20% ความปั่นป่วนทางการค้าทำให้สินค้าไทยถูกทดแทนโดยผู้เล่นรายอื่นๆ ซึ่งได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากความปรารถนาแบนสินค้าไทยในหมู่ผู้บริโภคกัมพูชา แต่กระนั้นสถานการณ์ในปัจจุบัน กลับทำให้พวกผู้ค้าปลีกต้องประสบปัญหาขาดทุนซ้ำเติมอีก เนื่องจากพวกเขาจำเป็นต้องปรับลดราคาสินค้าไทยลง เหตุเพราะอุปสงค์ผู้บริโภคที่ลดลง
นอกเหนือจากนี้แล้ว The Diplomat ระบุว่าไทยถือเป็นซัพพลายเออร์ป้อนรถยนต์และอะไหล่ คิดเป็นสัดส่วน 30% ที่นำเข้ากัมพูชา และอีก 10% ของการนำเข้าไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรมเหล่านี้เคยเติบโตอย่างรวดเร็ว สืบเนื่องจากการค้าภายในอุตสาหกรรมเดียวกัน บ่งชี้ว่ามีการบูรณาการเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามเวลานี้ความขัดแย้งก่อความปัญหาล่าช้าในด้านซัพพลายที่ป้อนแก่บริษัทต่างๆอย่างเช่นฮอนด้า ซึ่งมีโรงงานอยู่ทั้ง 2 ฟากฝั่งชายแดน มันเผยให้เห็นถึงความอ่อนแอของห่วงโซ่มูลค่าระดับโลกที่มีต่อความขัดแย้งทางการเมือง และบ่อนทำลายความน่าดึงดูดใจของภูมิภาคแถบนี้ ในฐานะจุดหมายปลายทางการลงทุน
ในภาคการเกษตร ภาวะขาดแคลนศักยภาพด้านการแปรรูปภายในประเทศ บีบให้เกษตรกรกัมพูชาต้องส่งออกผลิตภัณฑ์ของตนเองเป็นหลัก ทำให้ไทยที่มีความใกล้ชิดมากที่สุด กลายเป็นตลาดที่ความสะดวกทางโลจิสติกส์มากที่สุด ทั้งนี้แม้ว่าหลังความขัดแย้งปะทุขึ้น พวกผู้ซื้อจากเวียดนามได้ก้าวมาทดแทนผู้ซื้อจากไทยบางส่วน แต่ด้วยอยู่ในสถานะผูกขาด พวกเขาจึงเสนอราคาต่ำกว่าที่ผู้ซื้อจากไทยเคยเสนอถึง 20% ถึง 30% กระนั้นความขัดแย้งกับไทย ทำให้เกษตรกรกัมพูชาไม่มีทางเลือกอื่น จำเป็นต้องพึ่งเพื่อนบ้านแห่งนี้มากกว่าเดิม
รายงานของ The Diplomat ระบุต่อว่าราคาสินค้าทางการเกษตรที่ตกต่ำและต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น อาจบ่อนทำลายเสถียรภาพทางการเงินในพื้นที่ชนบท บริเวณที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นลูกจ้างในภาคการเกษตร ในนั้น 63.7% อยู่ในจังหวัดบันเตียเมียนเจย และ 76.9% อยู่ในจังหวัดอุดรมีชัย แม้ค่าเฉลี่ยอัตราหนี้สินต่อรายได้ครัวเรือนในจังหวัดบันเตียเมียนเจย, จังหวัดอุดรมีชัย รวมถึงจังหวัดพระวิหาร ยังอยู่ในระดับปานกลาง 45% ถึง 50% แต่รายได้ที่ลดลงอาจซ้ำเติมภาระหนี้ของเกษตรกรอย่างรุนแรง และผลักให้ครัวเรือนจำนวนมากเสี่ยงผิดนัดชำระนี้ในระดับสูง สถานการณ์ดังกล่าวยังถูกซ้ำเติมอีกระลอก จากข้อเท็จจริงที่ว่า ที่ผ่านมาครัวเรือนจำนวนมาก พึ่งพิงเงินที่แรงงานที่ทำงานในประเทศไทยส่งกลับไปให้
ขณะเดียวกันวิกฤตชายแดน ได้กระตุ้นให้แรงงานกัมพูชาจำนวนมากเดินทางกลับจากไทย หลายรายไม่ได้แจ้งให้นายจ้างทราบ ไทยเป็นจุดหมายปลายทางหลักสำหรับแรงงานจากกัมพูชา คิดเป็นสัดส่วนถึง 93% ของกระแสแรงงานของประเทศ หรือราวๆ 1.2 ล้านคน โดยแค่ด่านปอยเปตเพียงแห่งเดียว มีแรงงานเดินทางกลับประเทศในช่วงระหว่างวันที่ 24 กรกฏาคม ถึง 31 สิงหาคม ถึง 786,899 คน ท่ามกลางความคาดหมายว่าจำนวนผู้เดินทางกลับประเทศน่าจะสูงขึ้นอีกนับตั้งแต่นั้น
ผลก็คือไทยเผชิญต้นทุนสูงขึ้นสืบเนื่องจากการขาดแคลนแรงงาน แต่ทางกัมพูชาต้องประสบกับภาวะคนตกงานเพิ่มขึ้นและยอดเงินส่งกลับประเทศลดลงฮวบฮาบ ทั้งนี้เมื่อปี 2024 ยอดเงินที่แรงงานกัมพูชาส่งกลับประเทศ รวมทั้งสิ้น 2,800 ล้านดอลลาร์(ราว 91,500 ล้านบาท) คิดเป็นสัดส่วนถึง 6.1% ของจีดีพี แต่ด้วยการศึกษาภาคสนามบ่งชี้ว่าบ่อยครั้งแรงงานเหล่าน้้นถ่ายโอนเงินในรูปแบบเงินสดผ่านเพื่อนๆและญาติๆ ดังนั้นตัวเลขที่แท้จริงอาจสูงกว่านี้
ในขณะที่ปอยเปตแออัดไปด้วยแรงงานที่เดินทางกลับประเทศ แต่กลับไม่พบเห็นนักท่องเที่ยวอยู่ในเมืองแห่งนี้อีกต่อไป The Diplomat รายงาน พร้อมระบุว่าหลังผ่านพ้นโควิด-19 ไทยกลายมาเป็นแหล่งหลักนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ากัมพูชา และยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางส่งต่อที่สำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอื่นๆ
อย่างไรก็ตามผลจากความขัดแย้ง ปัจจุบันกัมพูชาประสบกับภาวะจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงอย่างมาก นักเดินทางขาเข้าลดลงเกือบ 40% ในเดือนกรกฏาคม 2025 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ผลก็คือมียอดจองโรงแรมในระดับต่ำและธุรกิจร้านอาหารซบเซา ส่งผลกระทบในวงกว้างกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
(ที่มา:thediplomat)