xs
xsm
sm
md
lg

AWS ชี้องค์กรไทยใช้ AI พุ่ง 33% แต่ยังไม่ใกล้เป็น AI Hub !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (Amazon Web Services) หรือ AWS เผยผลการศึกษาล่าสุดสะท้อนภาพชัดเศรษฐกิจไทยยุค AI กำลังโต ชี้ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตของการใช้ AI สูง 33% โดดเด่นทั้งในระดับโลกและภูมิภาค พบความท้าทายอยู่ที่ช่องว่างขนาดใหญ่ด้านกลยุทธ์ AI ในองค์กร โดยยังต้องเร่งเครื่องหลายด้านสู่การเป็นศูนย์กลาง AI แห่งภูมิภาค พบมูลค่าเงินที่บริษัทในไทยใช้จ่ายไปกับการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (compliance) ในการใช้ AI อยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับยุโรป

นายวัตสัน ถิรภัทรพงศ์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย ของ AWS ประเทศไทย กล่าวถึงผลการศึกษาเรื่อง Unlocking Thailand’s AI Potential ว่าการสำรวจชี้ให้เห็นถึงช่องว่างที่น่ากังวลในการนำ AI มาใช้ในภาคธุรกิจ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากปัญหาด้านวิสัยทัศน์ โดยสตาร์ทอัปไทยนำหน้าองค์กรใหญ่ในยุค AI เพราะธุรกิจไทยกว่า 1 ใน 3 ใช้ AI แล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังอยู่แค่ขั้นพื้นฐาน ขณะที่ในองค์กรขนาดใหญ่มีเพียง 18% เท่านั้น ที่มีวิสัยทัศน์หรือกลยุทธ์ด้าน AI ที่ชัดเจน

"รายงานนี้ชี้ให้เห็นว่ายังมีอุปสรรคสำคัญหลายประการ โดยเฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการพัฒนาการใช้งาน AI ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น เพื่อรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันของประเทศไทยบนเวทีด้าน AI ระดับโลก ทั้งภาครัฐและภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องร่วมมือกันแก้ไขอุปสรรคที่ภาคธุรกิจกำลังเผชิญอยู่อย่างเป็นระบบ ทาง AWS ยังคงมุ่งมั่นสนับสนุนการใช้งาน Generative AI อย่างแพร่หลาย ผ่านการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและโครงการพัฒนาทักษะบุคลากรอย่างต่อเนื่อง"

ผลสำรวจพบว่า ปัจจุบันมีธุรกิจกว่า 600,000 ราย หรือ 32% ของธุรกิจไทยทั้งหมดที่นำ AI มาใช้แล้ว เพิ่มขึ้น 33% จากปีก่อน แต่ที่น่าจับตาคือ สตาร์ทอัปไทยกลายเป็นผู้นำในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ขณะที่องค์กรขนาดใหญ่ยังคงใช้ AI เพียงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพงานพื้นฐาน เช่น การแปลภาษา หรือการสรุปความเท่านั้น

*** AI แค่แปล?

AWS พบว่าสตาร์ทอัปกว่า 50% ใช้ AI ในการดำเนินธุรกิจ และกว่า 40% พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ขณะที่บริษัทขนาดใหญ่แม้จะใช้ AI ถึง 44% แต่มีเพียง 16% เท่านั้นที่นำไปใช้สร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ และเพียง 18% ที่มีกลยุทธ์ AI ครอบคลุมทั้งองค์กร

ช่องว่างนี้สะท้อนถึงความแตกต่างด้านวัฒนธรรมองค์กร ความคล่องตัว และการลงทุนด้านนวัตกรรม ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจไทยก้าวเข้าสู่ยุค “AI สองระดับ” ฝั่งหนึ่งคือตลาดสตาร์ทอัปที่พัฒนาเร็ว และอีกฝั่งคือองค์กรขนาดใหญ่ที่เริ่มตามไม่ทัน

นิค บอนสโตว์ (Nick Bonstow) ผู้อำนวยการจาก Strand Partners กล่าวเตือนว่าผลการสำรวจสะท้อนการเกิดขึ้นของเศรษฐกิจ AI สองระดับในไทย การที่ธุรกิจจำนวนมากยังคงใช้ AI แค่ในระดับพื้นฐาน อาจกลายเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตระยะยาว หากไม่เร่งยกระดับทักษะและกลยุทธ์อย่างจริงจัง นอกจากนี้ ผลสำรวจยังชี้ว่าเกือบครึ่งของธุรกิจไทย (47%) มองว่าการขาดบุคลากรที่มีทักษะด้าน AI คืออุปสรรคสำคัญที่สุดต่อการขยายการใช้งาน แม้จะมีเทคโนโลยีและงบประมาณพร้อม แต่ยังขาด "คนที่ใช้งาน AI เป็นจริงๆ” โดยมีเพียง 29% ของธุรกิจที่เชื่อว่าพนักงานในปัจจุบันมีความพร้อมเพียงพอ

นอกจากนี้ ภาคธุรกิจยังแสดงความกังวลต่อความไม่แน่นอนของกฎระเบียบด้าน AI แม้จะมีความคาดหวังว่ากฎหมายจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้ลูกค้า (49%) และสร้างระบบกำกับดูแลที่มีเสถียรภาพมากขึ้น (39%) แต่กว่า 76% เชื่อว่าค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามข้อกำหนดจะเพิ่มสูงขึ้นใน 3 ปีข้างหน้า

จากผลสำรวจที่ได้ AWS เสนอ 3 แนวทางเพื่อให้ไทยก้าวข้ามกับดัก “AI สองระดับ” ได้แก่ การลงทุนสร้างทักษะดิจิทัลเฉพาะอุตสาหกรรม เพื่อปั้นบุคลากรที่สามารถใช้ AI ได้จริง การกำหนดกรอบกฎระเบียบที่ชัดเจนและเอื้อนวัตกรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดการลงทุน และการเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในภาครัฐ โดยเฉพาะด้านสาธารณสุข การศึกษา และระบบจัดซื้อจัดจ้าง ที่จะเป็นแรงขับให้ภาคเอกชนเดินตาม

***สถานะของไทย ยังไม่ใกล้เป็น AI Hub

นิคชี้ว่าแม้ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตของการนำ AI มาใช้ในระดับสูงถึง 33% ซึ่งสูงทั้งในระดับโลกและภูมิภาค และภาคส่วนที่โดดเด่นในการนำ AI มาใช้คือ ภาคการผลิต ภาคเทคโนโลยี และภาคบริการทางการเงิน แต่มูลค่าการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (compliance) ในการใช้ AI ขององค์กรไทยยังอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนถึงการส่งเสริมนวัตกรรมที่ยังต้องเร่งพัฒนาขึ้นอีก

"เปอร์เซ็นต์ของเงินที่บริษัทในไทยใช้จ่ายไปกับ compliance ในการใช้ AI คือ 27% ถือว่ายังต่ำเมื่อเทียบกับบางประเทศในยุโรปที่สูงถึง 45% หรือมากกว่า"

วัตสัน ถิรภัทรพงศ์ Country Manager ของ AWS ประเทศไทย
สำหรับแนวทางที่เหมาะสมในการกำกับดูแลเทคโนโลยีที่จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา วัตสันชี้ว่าไทยควรจะต้องเป็นในลักษณะ Pro Innovation คือมีการกำกับดูแล แต่ว่าอย่าไปทำให้การพัฒนาช้าลง เพื่อให้เกิดนวัตกรรมให้มากที่สุด ขณะเดียวกัน การกำกับดูแลต้องสามารถป้องกันได้ หาก AI ถูกนำไปใช้ในทางที่เป็นภัยต่อผู้อื่น

ในด้านการเร่งเครื่องด้านทักษะบุคลากร AWS ได้ประกาศว่ามีการฝึกอบรมคนในประเทศไทยไปแล้ว 100,000 คน ผ่านโครงการพัฒนาทักษะต่าง ๆ ครอบคลุมตั้งแต่นักพัฒนา (Developer) ไปจนถึงกลุ่ม Non-IT ผู้โดยกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการใช้ AI ได้เร็วที่สุดคือ Developer และกลุ่ม IT/Operation อย่างไรก็ตาม องค์กรจำเป็นต้องมุ่งเน้นการให้ความรู้กับกลุ่ม Non-IT เช่น ฝ่ายการเงิน, บัญชี, Sales/Marketing มากขึ้น เนื่องจากกลุ่มนี้มีความตื่นตัวแต่ยังใช้ AI ในรูปแบบพื้นฐาน เช่น text generation เท่านั้น

หากมองที่กลุ่ม SME ซึ่งเป็นฐานสำคัญของประเทศ แม้ว่าผู้ที่นำ AI มาใช้แล้วจะเห็นผลตอบแทนที่ดีด้านประสิทธิภาพและรายได้ แต่มีความกังวลเกี่ยวกับ ค่าใช้จ่ายเริ่มต้น (upfront costs) ข้อแนะนำสำหรับ SME คือให้ เริ่มต้นจากงานเล็ก และเจาะจง เบื้องต้น AWS ยก 3 ตัวอย่างการนำ Generative AI มาใช้ในภาคปฏิบัติจริงขององค์กร ได้แก่ Sansiri (แสนสิริ) ที่ใช้ Sansiri AI Assistant (Sansiri X) ในการตอบคำถาม/ข้อร้องเรียนของลูกบ้านในกว่า 500 โครงการ ลดเวลาตอบสนอง (response time) ได้ถึง 30% นอกจากนี้ยังใช้ OCR ในการประมวลผลใบแจ้งหนี้ (Invoice) 500 ใบต่อเดือน โดยมีความแม่นยำสูงถึง 90% และ ลดเวลาลง 50%

ขณะที่ CP All มีการใช้ Generative AI ในการพัฒนาหลักสูตร สไลด์ และเอกสารการฝึกอบรมบุคลากร ส่งผลให้ ลด Operational Cost ลง 75% และลดค่าใช้จ่าย 60% รวมถึงสามารถสร้างคอนเทนต์ใหม่ได้ เพิ่มขึ้น 5 เท่า โดยใช้จำนวนคนเท่าเดิม

และ Botnoi สตาร์ทอัปที่พัฒนาแอปพลิเคชันแปลภาษาแบบ Context Aware (เข้าใจบริบท) และพัฒนา Voice Bot ซึ่งถือเป็นตัวอย่างของการนำ GenAI มาสร้างบริการและต่อยอดธุรกิจโดยตรง.
กำลังโหลดความคิดเห็น