นายกรัฐมนตรีเค.พี. ชาร์มา โอลี ของเนปาล ประกาศลาออกแล้วในวันอังคาร (9 ก.ย.) ขณะที่พวกผู้ประท้วงวัยหนุ่มสาว “ Gen Z” ซึ่งรวมพลังต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ออกมาท้าทายไม่ยอมจำนนกับมาตรการประกาศเคอร์ฟิว รวมทั้งยังคงปะทะกับตำรวจ หลังจากที่ในวันจันทร์ (8) ได้มีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 19 คนจากการประท้วงอย่างรุนแรงที่มีชนวนเหตุมาจากการที่รัฐบาลสั่งแบนโซเชียลมีเดีย
รัฐบาลของนายกฯโอลี ยินยอมยกเลิกการแบนโซเชียลมีเดีย ภายหลังการประท้วงรุนแรงในวันจันทร์ (8) ซึ่งตำรวจยิงแก๊สน้ำตาและกระสุนยางใส่กลุ่มผู้ประท้วงที่พยายามบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภา โดยรายงานระบุว่าเหตุไม่สงบในวันนั้นทำให้ มีผู้เสียชีวิต 19 คนและบาดเจ็บกว่า 100 คน ด้านองค์การนิรโทษกรรมสากลระบุว่า รัฐบาลเนปาลใช้กระสุนจริงยิงผู้ประท้วง และสหประชาชาติก็เรียกร้องให้มีการสอบสวนอย่างเร่งด่วนและโปร่งใส
อย่างไรก็ตาม การประท้วงยังคงดำเนินต่อไปในวันอังคาร (9) บังคับให้ โอลี ต้องยอมลาออก และทำให้เนปาลตกลงสู่ความไม่แน่ไม่นอนทางการเมืองครั้งใหม่อีกครั้งหนึ่ง
สถานการณ์ความไม่สงบครั้งนี้ถือว่าเลวร้ายที่สุดในรอบหลายทศวรรษ สำหรับประเทศยากจนในเขตเทือกเขาหิมาลัยแห่งนี้ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างยักษ์ใหญ่อินเดียและจีน และต้องต่อสู้ดิ้นรนกับภาวะไร้เสถียรภาพทางการเมืองและความไม่แน่ไม่นอนทางเศรษฐกิจเรื่อยมาตั้งแต่เกิดการประท้วงในปี 2008 อันนำไปสู่จุดสิ้นสุดของระบบกษัตริย์ในประเทศนี้
โอลีระบุในหนังสือที่ส่งถึงประธานาธิบดีรามจันทรา เปาเดลว่า การตัดสินใจลาออกของเขามีผลทันทีเพื่อเปิดทางสู่การแก้ปัญหาและทางออกทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ ขณะที่ผู้ช่วยของเปาเดลเผยว่า ประธานาธิบดีเนปาลยอมรับการลาออกของโอลี และได้เริ่มกระบวนการสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้ว
ทางด้านกองทัพเนปาลโพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์เรียกร้องให้ประชาชนใช้ความอดกลั้นเนื่องจากการลาออกของโอลีได้รับการอนุมัติแล้ว
โอลี ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ วัย 73 ปี สาบานตนเข้ารับตำแหน่งสมัยที่ 4 เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมา ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 14 ของประเทศนับตั้งแต่ปี 2008
รายงานระบุว่า ก่อนลาออก โอลีได้เรียกประชุมพรรคการเมืองทั้งหมดและกล่าวว่า เหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ และรัฐบาลต้องหาทางออกด้วยการเจรจาอย่างสันติ อีกทั้งบอกว่า เสียใจกับเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดจากพวกที่เห็นแก่ประโยชน์ของตัวเอง แต่ไม่ได้กล่าวถึงข้อร้องเรียนของผู้ประท้วงเรื่องการทุจริตของนักการเมือง
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า พวกผู้ประท้วงที่เป็นเยาวชนคนหนุ่มสาวได้เข้าไปภายในเขตอาคารรัฐสภาด้วยอาการดีอกดีใจภายหลังรับฟังข่าวเรื่องนายกฯยอมลาออก พวกเขาชูมือขึ้นฟ้าพร้อมกับตะโกนคำขวัญปลุกใจ ขณะที่มีควันไฟลอยโขมงขึ้นมาจากหลายๆ ส่วนของอาคาร
รอยเตอร์อ้างอิงผู้เห็นเหตุการณ์หลายคนกล่าวว่า ถึงแม้ยังคงมีผู้ประท้วงออกมาตามท้องถนนในเมืองหลวงกาฐมาณฑุ แต่ก็ไม่มีการปะทะกันหรือความรุนแรงใดๆ ขณะที่กองกำลังความมั่นคงไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวหรือพยายามใช้กำลังเล่นงานผู้ประท้วง
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวเอพีรายงานว่า การลาออกของ โอลี ดูเหมือนแทบไม่มีผลอะไรกับการชุมนุมเดินขบวน ผู้ประท้วงจำนวนหลายหมื่นคนยังคงอยู่ตามท้องถนนจนกระทั่งย่างเข้าช่วงกลางคืน มีการปิดกั้นถนนสายต่างๆ, ยกกำลังบุกเข้าอาคารรัฐบาลหลายแห่ง และจัดการจุดไฟเผา, รวมทั้งในบางกรณี ยังคงมีการโจมตีทำร้ายพวกผู้นำทางการเมืองด้วย ขณะที่มีรายงานว่ากองทัพส่งเฮลิคอปเตอร์หลายลำไปรับตัวรัฐมนตรีบางคนให้ไปอยู่ยังสถานที่ปลอดภัย
สำนักงานการบินพลเรือนเนปาลเผยว่า ท่าอากาศยานกาฐมาณฑุ ซึ่งเป็นสนามบินนานาชาติหลักของเนปาล ต้องปิดให้บริการทันทีเนื่องจากปัญหาควันไฟจากบริเวณใกล้เคียงที่อาจเป็นอันตรายต่อการบิน
ตั้งแต่ตอนที่การประท้วงก่อตัวขึ้นมา พวกแกนนำการประท้วงในหลายเมืองประกาศว่า นี่เป็นการประท้วงของคน Gen Z ซึ่งหมายถึงผู้ที่เกิดในช่วงก่อนปี 2000 จนถึงหลังจากนั้นราว 10 ปี ที่ปัจจุบันต่างอยู่ในวัยหนุ่มสาว ทั้งนี้ ชาว Gen Z เนปาลบอกว่าพวกเขาไม่พอใจที่รัฐบาลไม่มีมาตรการแก้ไขปัญหาการทุจริตซึ่งระบาดกว้างขวาง และไม่หาทางส่งเสริมโอกาสทางเศรษฐกิจ
สัปดาห์ที่แล้วหนุ่มสาวเนปาลพากันโพสต์ “ไลฟ์สไตล์สุดหรูของครอบครัวและทายาทนักการเมืองและข้าราชการโกงกิน” และรัฐบาลตอบโต้ด้วยการแบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่รวมถึงเฟซบุ๊ก ยูทูบ และเอ็กซ์ ภายใต้ข้ออ้างว่า แพลตฟอร์มเหล่านั้นไม่ได้จดทะเบียนกับรัฐบาล
หนังสือพิมพ์กาฐมาณฑุโพสต์ระบุว่า เหตุการณ์นี้ไม่ได้เป็นเรื่องของโซเชียลมีเดียเท่านั้น แต่เกี่ยวกับความไว้ใจ การทุจริต และคนเจนแซดที่ไม่ยอมนิ่งเฉยอีกต่อไป
“คนรุ่นนี้โตมากับสมาร์ทโฟน เทรนด์โลก และคำสัญญาของรัฐบาลว่า จะทำให้ประเทศมั่งคั่ง สำหรับพวกเขา เสรีภาพทางดิจิทัลคือเสรีภาพส่วนบุคคล ดังนั้น การตัดช่องทางเข้าถึงโซเชียลมีเดียจึงเท่ากับการพยายามปิดปากคนเจนแซดทั้งหมด”
(ที่มา: รอยเตอร์/เอพี/เอเอฟพี)