(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/08/eu-bluffing-it-will-protect-the-philippines-from-china/)
EU bluffing it will protect the Philippines from China
by Sebastian Contin Trillo-Figueroa
21/08/2025
การเยือนกรุงมะนิลาของประธานด้านนโยบายการต่างประเทศอียู หนักแน่นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยการแสดงออกทางคำพูด ทว่าเบาโหวงในแง่ของเจตนารมณ์หรือความสามารถที่จะเข้าช่วยเหลือฟิลิปปินส์ ในกรณีเกิดการปะทะกันกับจีนขึ้นมา
อย่าฝันหวานเลย ยุโรปจะไม่มาช่วยพิทักษ์ปกป้องฟิลิปปินส์หรอก
ยุโรปจะไม่มาช่วยพิทักษ์ปกป้องฟิลิปปินส์แม้กระทั่งแค่ชั่วโมงแรก แม้กระทั่งแค่วันแรก ไม่มีการพิทักษ์ปกป้องใดๆ ทั้งสิ้น
ทำเนียบประธานาธิบดีฟิลิปปินส์สามารถที่จะเป็นเจ้าภาพต้อนรับบรรดาท่านผู้มีเกียรติชาวต่างประเทศ จัดพิธีลงนามร่วมกันในแถลงการณ์ร่วม และโพสท่าสำหรับการถ่ายภาพหมู่เก็บไว้เป็นที่ระลึก แต่เมื่อแรงกดดันบานปลายขยายตัวขึ้นมาในทะเลจีนใต้ สหภาพยุโรปก็จะยังคงอยู่ตรงที่พวกเขาน่าที่จะอยู่มาแต่ไหนแต่ไร นั่นคือ ตรงชายขอบแห่งการใช้กำลัง ในสภาพที่ไร้อำนาจ ไร้อิทธิพล และไร้ความสำคัญ
ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ เหตุผลเข้าใจได้ง่ายๆ เลยก็คือ อียูขาดไร้ทั้งเครื่องมือ, อาณัติ, และเจตจำนง ฉากเหตุการณ์หลายๆ ฉากที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความเป็นจริงนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ บีบคั้นยุโรปให้ต้องนำเอา 5% ของยอดจีดีพีของพวกเขามาเป็นค่าใช้จ่ายซื้อหาอาวุธอเมริกัน แล้วยังบังคับใช้ภาษีศุลกากรอัตราสูงแบบหยามหมิ่นกันกับสินค้าเข้าของอียู และกระทั่งแนะนำพวกยุโรปถึงวิธีการบริหารจัดการกับสงครามซึ่งกำลังเกิดขึ้นแถวๆ บริเวณหน้าประตูบ้านของพวกเขา
ท่ามกลางภูมิหลังเช่นนี้ คาจา คัลลาส (Kaja Kallas) ได้เดินทางมาเยือนกรุงมะนิลา ประกาศแสดงความสมานฉันท์และความใกล้ชิดเกี่ยวดองกันกับประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ด้วยการเทศนาสั่งสอนอย่างเคยๆ ในเรื่องเกี่ยวกับค่านิยม (ของโลกเสรี) กระนั้นความแตกต่างย้อนแย้งก็ยังคงเตะตามาก นั่นคือ ยุโรปยอมรับฐานะความเป็นบริวารของสหรัฐฯขณะอยู่ในยุทธบริเวณของตนเอง แต่เวลาเดียวกันกลับออกมาเทศน์สอนเรื่องความยืนหยัดอย่างเด็ดเดี่ยว เมื่อเดินทางมายังเอเชีย
ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดคำถามผุดขึ้นมาว่า ตัวแสดงที่มะนิลาวาดหวังเอาไว้ว่าจะสามารถเข้ามาช่วยเหลือในการต่อต้านทัดทานจีนในน่านน้ำ (ที่มะนิลาตั้งชื่อเรียกเสียใหม่ว่า) ทะเลฟิลิปปินส์ตะวันตก (West Philippine Sea) นั้น จะเป็น บรัสเซลส์ นี่แหละจริงๆ ล่ะหรือ?
คัลลาส ใช้การเยือนคราวนี้เพื่อตั้งท่าวางตำแหน่งตัวเองว่าเป็นพวกสายเหยี่ยวต่อต้านคัดค้านจีนผู้หนึ่ง ทว่าเธอไม่ได้มีเครื่องช่วยอย่างอื่นใดคอยประคับประคองเอาเสียเลย สื่อต่างๆ อ้างอิงนำเอาคำพูดของเธอมาพาดหัวข่าวประกาศถึง ยุคใหม่ของการที่ยุโรปมุ่งมั่นผูกพันกับความมั่นคงของฟิลิปปินส์ โดยที่ความมุ่งมั่นผูกพันนี้ขยายตัวกลายเป็นเรื่องจริงจังขึ้นมา [1] จาก “ความกังวล” เกี่ยวกับกับพฤติกรรมที่ “ผิดกฎหมาย, มุ่งใช้อำนาจบังคับ, ก้าวร้าว, และหลอกลวง” ของจีน ทว่าแค่คำขยายความย่อมไม่ใช่ยุทธศาสตร์ ความเป็นหุ้นส่วนกันก็ต้องยึดโยงอยู่กับความสามารถและเจตนารมณ์ ซึ่งยุโรปไม่สามารถเสนอออกมาได้ทั้งสองอย่าง
ถ้าจะมีข้อความใดๆ ที่ออกมาจากฝ่ายตะวันตกในช่วงหลังๆ นี้ซึ่งมีน้ำหนักอันขึงขังแล้ว มันก็คือข้อความจากฝรั่งเศส โดยที่ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ได้พูด [2] เอาไว้ในเวทีการประชุมประจำปีความมั่นคงเอเชีย แชงกรีลา ไดอะล็อก (Shangri-La Dialogue) ที่สิงคโปร์ อย่างชนิดกระจ่างแจ้งขจัดหมอกมัวคลุมเครือไปจนหมดสิ้นว่า ยุโรปจะไม่สู้รบกับจีนหรอก
“หากคำพังเพยที่พูดถึงช้างที่หลุดเข้าไปอยู่ในร้านขายเครื่องกระเบื้อง ซึ่งวันนี้ย่อมหมายความถึงประเทศจีน ตัดสินใจที่จะเปิดยุทธการใหญ่เข้าเล่นงานประเทศสักประเทศหนึ่ง คุณจะเข้าแทรกแซงตั้งแต่วันแรกเลยไหม? มาถึงวันนี้ผมจะรอบคอบระมัดระวังให้มากๆ มาถึงวันนี้ทุกๆ คนต่างก็จะต้องรอบคอบระมัดระวังให้มากๆ” มาครง บอก
ฝรั่งเศส --ชาติสมาชิกอียูเพียงรายเดียวเท่านั้นซึ่งมีฐานะเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์ รวมทั้งยังมีการจัดส่งกองกำลังอาวุธออกไปประจำการยังทั่วโลกมากที่สุด ตลอดจนเป็นรัฐสมาชิกอียูเพียงรายเดียวที่มีดินแดนตั้งอยู่ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก (1) -- ได้แสดงท่าทีซึ่งยืนยันให้เห็นถึงความลังเลใจของยุโรป ความหมายโดยนัยของมันก็ถือได้ว่าเป็นคำตอบสุดท้ายของยุโรปด้วยเช่นกัน เพราะถ้าหากฝรั่งเศสไม่ลงมือแล้ว ยุโรปโดยองค์รวมก็ไม่สามารถลงมือทำอะไรได้หรอก
หลักฐานยืนยันเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเพียงข้อคิดเห็นในทางทฤษฎีแค่นั้น สงครามที่เกิดขึ้นในยูเครนเวลานี้ยังคงเป็นเครื่องทดสอบยุโรปได้เป็นอย่างดี ขณะที่เคียฟวิงวอนขออาวุธและการป้องกันภัยทางอากาศ บรัสเซลส์ยังคงอภิปรายถกเถียงกันเรื่องการจ่ายเงินค่าแก๊สรัสเซีย และแพกเกจมาตรการแซงก์ชั่นซึ่งจะใช้กับระบอบปกครองเดียวกันกับที่กำลังถล่มโจมตีเมืองต่างๆ ของยูเครนอยู่ หลังจากสงครามผ่านมาได้ 1,300 วัน ยุโรปได้จัดส่งข้าวของเงินทองไปให้เคียฟคิดเป็นจำนวนหลายหมื่นหลายแสนล้าน [3] ทว่าไม่ได้มีกองกำลังสู้รบแม้สักหน่วยเดียว เข้าสู่สงคราม ถึงแม้พวกผู้นำของยุโรปเองระบุเรียกขานสงครามคราวนี้ว่า เป็นสงคราม “แห่งการดำรงคงอยู่” (existential) [4] ของพวกเขา
มาครง ทำการเชื่อมโยงออกมาให้เห็นอย่างเปิดเผยชัดเจน โดยเขาพูดว่า “ถ้าหากสหรัฐอเมริกาและทางฝ่ายยุโรปไม่สามารถที่จะแก้ไขสถานการณ์ของยูเครนได้ ผมคิดว่าเครดิตความน่าเชื่อถือของทั้งสหรัฐฯและทางฝ่ายยุโรปในการเสแสร้งแกล้งทำเป็นว่าสามารถที่จะแก้ไขวิกฤตการณ์ใดๆ ในภูมิภาคนี้ (หมายถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ก็จะอยู่ในระดับที่ต่ำมากๆ”
คำแปลของคำพูดข้างต้นนี้ก็คือ: การที่ยุโรปจะสามารถแสดงบทบาทอย่างเป็นเรื่องเป็นราวในเอเชียได้ ต้องขึ้นอยู่กับผลงานของพวกเขาในยุโรป และเวลานี้ผลงานดังกล่าวนี้ก็กำลังอยู่ในอาการพังครืนลงมา ภายใต้ความลังเลใจ, การแตกแยกออกเป็นเสี่ยงๆ, การมุ่งหน้าเอาแต่หลีกเลี่ยงความเสี่ยง, และการสยบยอมขึ้นต่อวอชิงตัน
ถ้าหากเราจะพูดกันในอีกแง่มุมหนึ่ง ก็สามารถที่จะออกมาเป็นอย่างนี้: ฟิลิปปินส์นั้นมีคุณูปการอะไรกับยูเครนบ้าง? ไม่มีเลย แล้วมันก็ถูกต้องแล้วที่เป็นอย่างนั้น เคียฟไม่ใช่เป็นเวทีการสู้รบของมะนิลา เช่นเดียวกับที่หมู่เกาะปาลาวัน (ในฟิลิปปินส์) จะไม่ใช่เวทีการสู้รบของบรัสเซลส์หรอก ชาติต่างๆ ลงมือกระทำการในจุดที่ผลประโยชน์ของพวกเขาถูกคุกคาม และสมรรถนะของพวกเขาสามารถที่จะนำมาใช้อย่างผลิดอกออกผลได้
อย่างไรก็ดี ยุโรปนั้นมีข้อจำกัดต่างๆ อันล้ำลึก ยิ่งกว่าเพียงแค่เรื่องการส่งกำลังบำรุงทางทหารเท่านั้น สหภาพยุโรปนั้นไม่ได้มีฐานะเป็นรัฐๆ หนึ่ง มันเป็นการรวมกลุ่มของรัฐบาล 27 รัฐบาล ซึ่งกำลังดำเนินยุทธศาสตร์ว่าด้วยจีนไปในทิศทางที่ไม่ใช่ทิศทางเดียวกันเสมอไป และกระทั่งบางครั้งยังขัดแย้งกันด้วย ในขณะที่พวกผู้นำเสแสร้งทำเป็นว่าพูดจาออกมาอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฝรั่งเศสมุ่งปกป้องผลประโยชน์ต่างๆ ของตนเอง เยอรมนีให้ความสำคัญลำดับต้นๆ กับการทำให้สินค้าส่งออกของตนหลั่งไหลเข้าไปในแดนมังกรได้มากๆ พวกยุโรปตะวันออกเน้นแสวงหาหนทางทำดีลด้านโครงสร้างพื้นฐานกับปักกิ่ง สเปนเสาะหาทางดึงดูดให้จีนเข้าไปตั้งโรงงาน อียูนั้นไม่ได้มีมิติของการรักษาความมั่นคงร่วมกันใดๆ เลย และคำกล่าวที่พูดถึง ความเป็นตัวของตัวเองในด้านยุทธศาสตร์ ก็ยังคงเป็นเพียงแค่คำขวัญ
ระหว่างกลางความเป็นจริงเหล่านี้ แท้จริงแล้วคัลลาสกำลังเสาะแสวงหาอะไรในฟิลิปปินส์กันแน่? การตระเวนเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเธอ ที่ครอบคลุมถึงการแวะมะนิลาด้วยนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงของฟิลิปปินส์ น้อยยิ่งกว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการฉายตัวเอง (self-projection) การประโคมส่งเสริมภาพลักษณ์ตัวเอง –ด้วยการกล่าวอ้างถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับทั่วโลก โดยปราศจากการเผชิญหน้ากับคำถามเดียวที่ทรงความสำคัญอย่างแท้จริง ซึ่งได้แก่คำถามที่ว่า ยุโรปยินดีพรักพร้อมจะเข้าสู้รบในเอเชียหรือไม่? กระนั้นก็ตามที ถึงแม้ คัลลาส จะหลีกเลี่ยงคำถามสำคัญนี้ แต่คำตอบก็ได้ปรากฏออกมาเรียบร้อยแล้วตั้งแต่หลายสัปดาห์ก่อนโดย มาครง ในสิงคโปร์ คำตอบที่ว่าก็คือ ไม่
เมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้ อันตรายที่ใหญ่โตยิ่งกว่านักหนา จึงอยู่ที่เรื่องของการคิดคำนวณอย่างผิดพลาด มะนิลาอาจสำคัญผิดคิดไปว่าความสนับสนุนเชิงสัญลักษณ์คือการให้ความปกป้องคุ้มครอง –และกระทั่งอยู่ในรูปของกองทหารเฉพาะกิจทีเดียว ซึ่งความสำคัญผิดเช่นนี้อาจจะนำไปสู่ความวิบัติหายนะ ช่องว่างระหว่างคำพูดกับพลังอำนาจนั้น เป็นสิ่งที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ย่างก้าวแรกๆ ของ คัลลาส [5] ในการขึ้นสู่ตำแหน่งนักการทูตระดับท็อปของอียูตำแหน่งนี้ (2) เมื่อเธอประกาศว่า “ตั้งแต่การเดินทางเยือนต่างประเทศเที่ยวแรกภายหลังเข้ารับตำแหน่ง ข้อความที่ดิฉันต้องการจะส่งออกไปยังนานาประเทศก็มีความชัดเจนแล้ว นั่นคือ สหภาพยุโรปต้องการให้ยูเครนชนะในสงครามครั้งนี้”
สงคราม (ในยูเครน) ที่อียูปฏิเสธไม่เข้าไปสู้รบ (ด้วยตนเอง) และกระทั่งไม่สามารถที่จะเจรจาเพื่อยุติมันด้วยซ้ำไป ได้กลายเป็นเพียงแค่เวทีสำหรับการป่าวร้องโฆษณาของเธอ ถ้าหากบรัสเซลส์ไม่สามารถที่จะร่ายมนตราทำให้มันกลายเป็นกองกำลังอาวุธขึ้นมาในที่นั้นได้ พวกเขาจะสามารถมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวในฟิลิปปินส์ได้ยังไง ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้แทนระดับสูง/รองประธานคณะกรรมาธิการยุโรปของอียูเฉกเช่นคัลลาส ไม่ได้มีบทบาทในการกำหนดนโยบายด้วยซ้ำไป จึงมีส่วนร่วมในเรื่องการทำให้เกิดชัยชนะในสงครามน้อยลงไปใหญ่ สิ่งสำคัญที่ผู้อยู่ในตำแหน่งนี้จะต้องทำ คือคอยเป็นเสียงก้องสะท้อนของฉันทามติจากเหล่ารัฐสมาชิกเท่านั้น
กระนั้นก็ตาม ยังคงมีนักวิจารณ์แสดงความเห็นผ่านสื่อ (คอมเมนเตเตอร์) ชาวฟิลิปปินส์บางราย ออกมาวาดภาพอย่างน่าตื่นเต้นว่า สิ่งที่ คัลลาส แสดงออกมา คือเครื่องพิสูจน์ให้เห็นถึงการร่วมมือประสานงานด้านความมั่นคงระหว่างอียูกับฟิลิปปินส์ ราวกับว่าถึงยังไงก็แล้วแต่มันคือคำมั่นสัญญาอย่างแน่นอนชัดเจนที่อียูจะปกป้องคุ้มครองฟิลิปปินส์จากการมุ่งร้ายของจีน –โดยที่ในความเป็นจริงแล้ว แดนมังกรยังคงเป็นคู่ค้ารายสำคัญของอียูอีกด้วย เปรียบเทียบกันให้เห็นภาพชัดๆ อียูนั้นยังไม่ได้มีแม้กระทั่งข้อตกลงทางการค้าอย่างเป็นทางการกับฟิลิปปินส์ด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุนี้ มันจะเป็นแค่เรื่องการโฆษณาป่าวร้องเกี่ยวกับค่านิยม หรือว่ามันจะเป็นเรื่องการค้า ? ผลประโยชน์ หรือมายาภาพแห่งการพิทักษ์ปกป้อง “เหล่าพันธมิตรที่มีความคิดเหมือนๆ กัน”? พวกลูกเรือบนอากาศยานฟิลิปปินส์ที่กำลังบินอยู่เหนือน่านน้ำทะเลจีนใต้ซึ่งเกิดการพิพาทแย่งชิงสิทธิ์กันอยู่ ย่อมไม่อาจรู้สึกสบายอกสบายใจจากการที่ คัลลาส พูดถึง “ประชาธิปไตย, สิทธิมนุษยชน, และหลักนิติธรรม” หรอก สิ่งที่พวกเขาเรียกร้องต้องการคือการบูรณาการในด้านการสู้รบ, การป้องกันภัยทางอากาศ, และความแน่นอนที่ว่าเมื่อสถานการณ์บานปลายขยายตัว ก็จะได้เจอะเจอกับกองกำลังอันอุ่นหนาฝาคั่งเต็มที่ของผู้เป็นมิตร ตามน่านน้ำต่างๆ ซึ่งอยู่ใกล้เคียง
ยุโรปไม่ได้เสนอสิ่งเหล่านี้ออกมาเลยแม้สักอย่างเดียว ปัจจุบันเมื่อพวกเขาจัดส่งเรือรบเข้ามายังภูมิภาคแถบนี้ ก็จะต้องมีการประกาศเส้นทางเดินเรือกันล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการเผชิญหน้า หรือที่เรียกกันว่า การปรากฏตัวโดยปราศจากวัตถุประสงค์ ความใกล้ชิดเกี่ยวดองทางการเมือง (ที่ คัลลาส พร่ำพูดกับ มาร์กอส จูเนียร์) ไม่สามารถนำมาใช้ในการสกัดกั้นเรือรบ หรือป้องปรามการมุ่งใช้อำนาจบังคับได้หรอก
กระทั่งสหรัฐฯก็ยังหยุดเสแสร้งไม่ทำเรื่องซึ่งมุ่งเป็นเพียงการแสดงเหล่านี้อีกต่อไปแล้ว เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ที่ผ่านมา รองประธานิบดี เจดี แวนซ์ ของสหรัฐฯ ได้แสดงการมองข้ามไม่ให้น้ำหนักความเหมาะสมอะไรแก่ทางยุโรป ณ การประชุมประจำปีว่าด้วยความมั่นคงที่เมืองมิวนิก, เยอรมนี ในตอนนั้น คัลลาส ได้ออกมาตอบโต้ด้วยอาการท้าทาย โดยระบุยืนยัน [6] ว่า ยุโรปจะเป็นผู้นำของ “โลกเสรี”
หลายสัปดาห์ต่อมาในกรุงวอชิงตัน รัฐมนตรีต่รางประเทศ มาร์โค รูบิโอ ของสหรัฐฯ ได้ปฏิเสธไม่ยอมพบปะหารือกับเธอ –ทั้งที่นั่นคือเหตุผลเจาะจงที่เธอต้องบินมายังเมืองหลวงของสหรัฐฯ แล้วเมื่อมีการหารือกันในเรื่องยูเครนขึ้นมาจริงๆ พวกผู้นำอียูก็ไม่ได้อยู่ในฐานะเป็นผู้ตัดสินใจ ทว่าเป็นเพียงผู้รับเชิญให้มาเข้าร่วมที่ทำเนียบขาวเท่านั้น โดยที่นั่นพวกเขาก็ถูกเลคเชอร์อบรมถึงวิธีการในการเจรจาเรื่องสงคราม ซึ่งพวกเขาไม่ได้เคยเข้าไปบริหารจัดการอะไรด้วยเลย
สำหรับมะนิลาแล้ว ความกำกวมในเรื่องนี้ควรจะหมดไปเสียที สหรัฐฯ, ญี่ปุ่น, และออสเตรเลีย ยังคงเป็นหุ้นส่วนด้านการป้องกันของพวกเขา บรัสเซลส์นั้นมีประโยชน์ในทางการค้า, ด้านกฎระเบียบ, และในเวทีประชุมหารือพหุภาคี แต่การคาดหวังว่ายุโรปจะออกมาป้องปรามทางการทหารเพื่อประจันหน้ากับจีนนั้น เป็นเพียงความเพ้อฝันอย่างบริสุทธิ์เท่านั้น
พวกผู้วางนโยบายของฟิลิปปินส์ควรยุติการจินตนาการที่จะได้เห็นขบวนกองทหาร ณ จุดซึ่งถึงอย่างไรก็จะได้เห็นแต่เพียงแถวของข้ารัฐการ อย่างดีที่สุด บรัสเซลส์ก็อาจจะให้ทุนสนับสนุนการจัดตั้งพวกสถานีเรดาร์ หรือออกพวกญัตติทางด้านการเดินเรือมาหนุนหลัง แต่ในทันทีที่การสู้รบเริ่มต้นขึ้น –ถ้าหากมันจะเกิดขึ้นมาจริงๆแล้ว-- อียูจะถูกลดบทบาทลงมาเหลือแค่เพียงการแสดงบทบาทอย่างชำนาญพิเศษของพวกเขาเท่านั้น –นั่นคือการประกาศให้ “ความสนับสนุนอย่างเด็ดเดี่ยว” จากสถานที่ห่างไกลการสู้รบอย่างสุดกู่
ดังนั้น พึงระวังกันไว้ให้ดีเถอะ เมื่อถึงคราวจัดพิธีการอันหรูหราเกริกเกียรติกันอีกครั้งหนึ่ง
การสนทนาด้านความมั่นคงระหว่างฟิลิปปินส์-อียูครั้งปฐมฤกษ์ [6] ในตอนปลายปี 2025 นี้ จะต้องจุดประกายให้เกิดการแสดงความโกรธเกรี้ยวอย่างเคยๆ จากปักกิ่ง –ในระดับแค่เพียงพอให้บางคนบางฝ่ายเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าตนเองได้รับความสำคัญ ทว่าพวกผู้นำจีนในทำเนียบจงหนานไห่ไม่มีคนไหนหรอกที่จะขบคิดจนถึงขั้นนอนไม่หลับ กับการประชุมซัมมิตที่ปราศจากกองทหารเข้ามาเกี่ยวข้องรองรับเช่นนี้
เพราะว่าทะเลจีนใต้นั้นไม่ได้ถูกปกครองดูแลด้วยคำประกาศและการชุมนุมกันเพื่อโอ่อวดคุยโต มันกำลังเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาด้วยการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ท่ามกลางระดับขีดขั้นที่แผ่ลามขยายตัวออกไปเรื่อยๆ และความสามารถที่จะลงมือกระทำโดยไม่ต้องรอถามกันก่อน
ถ้าหากจะเกิดวิกฤตครั้งใหม่ขึ้นมาแล้ว มะนิลาก็ควรที่จะทราบอยู่ก่อนแล้วว่ายุโรปสามารถพึ่งพาได้ในทางถ้อยคำโวหาร ทว่าในที่สุดแล้วก็จะไม่ลงมือทำอะไรทั้งสิ้น
เซบาสเตียน คอนติน ตริลโล-ฟิเกอโรอา เป็นนักยุทธศาสตร์ทางภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งตั้งฐานอยู่ที่ฮ่องกง โดยจุดโฟกัสความสนใจของเขาคือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างยุโรปกับเอเชีย
เชิงอรรถ
[1] https://dfa.gov.ph/dfa-news/dfa-releasesupdate/36642-the-philippines-and-the-eu-enhance-security-cooperation
[2] https://www.youtube.com/watch?v=1u6DZVXEyYU
[3] https://asiatimes.com/2025/07/the-cost-of-europes-great-capitulation-to-trump
[4] http://en.taiheinstitute.org/Content/2025/05-23/1738585371.html
[5] https://x.com/kajakallas/status/1863120005040128379
[6] https://x.com/kajakallas/status/1895570098834063878
[7] https://www.philstar.com/opinion/2025/06/12/2449884/eu-and-philippines-launch-security-and-defense-dialogue
หมายเหตุผู้แปล
(1) ฝรั่งเศสนั้นอ้างตัวเองเป็นประเทศหนึ่งในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก สืบเนื่องจากในภูมิภาคนี้มีดินแดนโพ้นทะเลของฝรั่งเศสหลายแห่งตั้งอยู่ รวมทั้งมีบุคคลสัญชาติฝรั่งเศสมากกว่า 1.6 ล้านคนพำนักอาศัยอยู่ ทั้งนี้ ดินแดนโพ้นทะเลของฝรั่งเศสที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย ได้แก่ เกาะเรอูว์นียง, เกาะมายอต, ดินแดนฝรั่งเศสใต้และแอนตาร์กติก ส่วนดินแดนโพ้นทะเลของฝรั่งเศสซึ่งตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ได้แก่ นิวแคลิโดเนีย, เฟรนช์โปลินีเซีย, หมู่เกาะวาลิส, ฟูตูนา, และคลิปเปอร์ตัน ดูเพิ่มเติมได้ที่ เอกสารของมูลนิธิเพื่อการวิจัยทางยุทธศาสตร์ หน่วยงานคลังสมองในฝรั่งเศส https://www.frstrategie.org/en/publications/fiches-indo-pacifique/n1-overseas-territories -ผู้แปล)
(2) ตำแหน่งของ คัลลาส มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า ผู้แทนระดับสูงของสหภาพยุโรปด้านกิจการต่างประเทศและนโยบายความมั่นคง/รองประธานของคณะกรรมาธิการยุโรป High Representative of the Union for Foreign Affairs and Security Policy/Vice-President of the European Commission ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/High_Representative_of_the_Union_for_Foreign_Affairs_and_Security_Policy --ผู้แปล)