ท่ามกลางกระแสบอยคอตต์สินค้าไทยที่ขยายวงมากขึ้นเรื่อยๆในกัมพูชา บริษัทต่างๆหลายแห่งที่ไม่ใช่ของไทยก็กำลังเจอไฟย้อนศรเช่นกัน จากคำกล่าวหายกเลิกสัญญาณกับเหล่าคนดัง ที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างกัมพูชาและไทย ตามรายงานของของ cambojanews พร้อมอ้างพวกผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ เรียกร้องบริษัททั้งหลายแสดงจุดยืนเป็นกลาง แม้พวกผู้นำของประเทศ เตือนว่าการบอยคอตต์จากความเข้าใจผิดอาจกลายเป็นตกหลุมพรางของศัตรู และส่งผลกระทบกับกัมพูชามากกว่าบริษัทเหล่านั้น
เว็บไซต์ข่าว cambojanews รายงาน คำว่า "บอยคอตต์สินค้าไทย" กลายเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวาง เมื่อช่วงต้นเดือน บรรดาเจ้าของสถาบริการน้ำมันกัมพูชาแถลงเตรียมยกเลิกสัญญากับแบรนด์ปตท.ของไทย เพื่อส่งเสริมแบรนด์ท้องถิ่น ปรับเปลี่ยนชื่อปั๊มเหล่านั้นเป็น PPC (Peace Petroleum Cambodia) ทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม cambojanews ระบุว่าในเวลานี้กระแสบอยคอตต์สินค้าไทยลุกลามไปไกลกว่านั้น ในขณะที่บริษัทต่างๆที่ไม่ใช่ของคนไทย อย่างเช่นโคคา-โคลา ก็เจอกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากชาวกัมพูชาเช่นกัน หลังจากบริษัทยกเลิกสัญญาจ้างแร็ปเปอร์ดังชาวกัมพูชา "มาน วัณณ์ฎา" ผู้ซึ่งปล่อยเพลงเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างกัมพูชาและไทย
ข้อความจำนวนมากที่โพสต์บนเพจของโคคา-โคลา เต็มไปด้วยความโกรธแค้น พวกผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์กัมพูชา กล่าวหาว่าบริษัทแห่งนี้ "เข้าข้างไทย" และขับไล่โคคา-โคลา ออกนอกประเทศ
ประเด็นถกเถียงนี้สะท้อนความตึงเครียดที่มีมากขึ้นระหว่างความรู้สึกชาตินิยมกับผลประโยชน์ของผู้ประกอบการ ในขณะที่พวกผู้นำของประเทศชาติเตือนว่าการให้ข้อมูลผิดๆหรือการบอยคอตต์ออกนอกหน้ามากเกินไป ท้ายที่สุดแล้วจะทำร้ายเศรษฐกิจของกัมพูชา มากกว่าบริษัทต่างชาติเสียอีก ตามรายงานของ cambojanews
"ผมไม่คัดค้านถ้าโคคา-โคลา ผลิตในไทย คุณสามารถหยุดดื่มมัน" cambojanews อ้างข้อความที่โพสต์โดย ฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา "แต่โคคา-โคลา ผลิตในกัมพูชา ถ้าคุณบอยคอตต์และไม่บริโภคมัน กัมพูชาจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ทั้งในแง่การจ้างงาน รายได้ของประชาชนทั้งทางตรงทางอ้อม และรายได้ของภาครัฐ"
ฮุนเซน บอกว่าถ้าบริษัทแห่งนี้ถอนตัวจากกัมพูชา มันจะไปเข้าทางเจตนาของไทย โดยว่ากันว่าชาติเพื่อนบ้านแห่งนี้กำลังหาทางถาโถมแรงกดดันทางเศรษฐกิจท่ามกลางความตึงเครียดด้านชายแดน "เนื่องจากโคคา-โคลา เป็นบริษัทอเมริกา มันจึงเป็นหลุมพราง ศัตรูกำลังใช้ประเด็นนี้ก่อรอยร้าวในความสัมพันธ์ทางการทูต เศรษฐกิจและการค้า ระหว่างกัมพูชาและอเมริกา"
"กรุณาอย่าตกหลุมพรางศัตรูของเรา เราต้องทำงานหนักเพื่อรักษานักลงทุนไทยในกัมพูชาเพื่อประโยชน์ของเขา" ฮุนเซนกล่าว พร้อมเรียกร้องประชาชนให้อยู่ในความสงบ และพิจารณารากเหง้าของสถานการณ์ด้วยความระมัดระวัง
Ros Van Ritha ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจOudom Consulting Co. Ltd ให้สัมภาษณ์กับ cambojanews มองว่าการที่โคคา-โคลา ถอดภาพของ วัณณ์ฎา ออกจากเพจอย่างเป็นทางการ สะท้อนจุดยืนเป็นกลางของพวกเขา บริษัทข้ามชาติอย่างโคโค-โคลา มีนโยบายหลักเลี่ยงเกี่ยวข้องทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นในประเทศใดๆก็ตาม
"พวกเขาใช้นโยบายระหว่างประเทศที่คงไว้ซึ่งความเป็นกลางและปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของบริษัท" เขากล่าว "โคคา-โคลา ไม่ได้เลือกข้างไทย แต่สำหรับประชาชนชาวกัมพูชา มันถูกมองว่าเป็นการทอดทิ้งกัมพูชา และเข้าข้างไทย"
Arnaud Darc ประธานและซีอีโอของThalias Hospitality Group กล่าวกับ cambojanews ว่าบริษัทข้ามชาติอย่างโคโค-โคล โดยทั่วไปแล้วจะปฏิบัติตามกฎระเบียบภายในของบริษัทอย่างเคร่งครัด ในการหลีกเลี่ยงความเกี่ยวข้องทางการเมือง แต่ทางบริษัทแห่งนี้ควรชี้แจงความเคลื่อนไหวต่างๆให้ชัดเจน
เขาบอกว่า วัณณ์ฎา เป็นหนึ่งในศิลปินทรงอิทธิพลสุดของกัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่วัยรุ่น ดังนั้นการที่โคคา-โคลา ถอดเขาออกจากการทำการตลาดในกัมพูชา เมื่อช่วงกลางเดือนสิงหาคม จึงโหมกระพือไฟย้อนศรจากสาธารณะและเสียงเรียกร้องให้บอยคอตต์
นอกเหนือจากโคโค-โคลาแล้ว บริษัทเครื่องดื่มอื่นๆ อย่างเช่นบัดไวเซอร์ก็เผชิญเสียงวิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน จากคำกล่าวหาที่ว่ายกเลิกการทำงานร่วมกับคนดังหลายคน ที่ออกมาพูดเกี่ยวกับความขัดแย้ง
อีกหนึ่งกรณีคือเกิดกระแสแบน KOFI แบรนด์กาแฟดังในกัมพูชา หลังเจ้าหน้าที่ศุลกากรพบบาร์โค้ดกัมพูชาปลอมแปะอยู่บนผลิตภัณฑ์นมข้นหวานที่นำเข้าจากไทย
ทางบริษัทอ้างว่าสินค้าดังกล่าวผลิตในมาเลเซีย และบาร์โค้ดนั้นเกิดจากความผิดพลาดทางเทคนิค ณ โรงงานผลิต ตามหลังเสียงร้องเรียน ทางสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคในกัมพูชาตรวจสอบพบนมข้นหวาน 114 กล่องจากทั้งหมด 105 กล่อง มีการแปะบาร์โค้ดใหม่ทับ ส่วนอีก 61 กล่องไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งนี้ทางสำนักงานสั่งให้ทางบริษัทเรียกคืนผลิตภัณฑ์นี้ภายใน 2 วัน และต่อมาทาง KOFI ได้ออกถ้อยแถลงขอโทษ
Arnaud กล่าวว่าเสียงเรียกร้องให้บอยคอตต์เป็นปฏิกิริยาที่เข้าใจได้ในช่วงเวลาที่มีความขัดแย้ง พร้อมระบุประชาชนต้องการแสดงออกถึงความรักชาติในวิธีการที่เป็นรูปธรรม แต่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเศรษฐกิจกัมพูชาคือ "การบอยคอตต์เท่ากับเป็นดาบ 2 คม"
อ้างอิงข้อมูลจากกระทรวงแรงงานกัมพูชา พบว่าภาคอาหารและเครื่องดื่มมีการจ้างงานชาวกัมพูชา 200,000 อัตราในปี 2024 ร้านค้าจำนวนมากปฏิบัติการภายใต้แบรนด์นานาชาติหรือไม่ก็แบรนด์ไทย แต่ในทางปฏิบัติร้านค้าเหล่านี้เป็นธุรกิจที่มีชาวเขมรเป็นเจ้าของและจ้างงานคนกัมพููชา เช่าที่ตั้งเขมร และเป็นบ่อเกิดของห่วงโซ่อุปทานท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่
"ดังนั้น เมื่อการบอยคอตต์เล็งเป้าเล่นงานร้านเหล่านี้ คนที่ได้รับความทุกข์ทรมานเป็นลำดับแรกกคือลูกจ้างชาวกัมพูชา ไม่ใช่พวกผู้บริหารต่างชาติ บาริสตากัมพูชา เด็กเสิร์ฟ คนทำความสะอาดและซัพพลายเออร์ จะสูญเสียรายได้เป็นเวลานาน ก่อนที่บริษัทแม่ใดๆในต่างแดนจะรับรู้ถึงแรงกดดันที่แท้จริงเสียอีก"
ทั้งนี้ Arnaud แนะนำว่าแนวทางที่ดีที่สุดคือผนวกความรักชาติเข้ากับการเปลี่ยนแปลงหลักการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เขาบอกว่าชาวกัมพูชามีสิทธิ์ทุกอย่างในการปกป้องอธิปไตย แต่ความเคลื่อนไหวต่างๆต้องเพิ่มความเข้มแข็ง ไม่ใช่ทำร้ายเศรษฐกิจ นั่นหมายความว่าการบอยคอตต์ควรมุ่งเน้นแต่สินค้านำเข้าจากไทย ที่มีทางเลือกอื่นทดแทน
"อย่างไรก็ตามยังคงมีการเดินทางสนับสนุนอย่างกระตือรือร้นต่อผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยกัมพูชา ที่ช่วยสร้างงานและก่อเงินหมุนเวียนในท้องถิ่น เพิ่มความหลากหลายในการนำเข้าจากภูมิภาคอื่นๆ และปกป้องภาคธุรกิจที่ปฏิบัติการภายใต้แบรนด์ไทยต่อบริหารงานโดยเขมร เพื่อรักษาไว้ซึ่งการจ้างงานท้องถิ่น ค่าจ้างและภาษี"
Pen Sovicheat โฆษกกระทรวงพาณิชย์ของกัมพูชา บอกว่าการบอยคอตต์สินค้าไทยเป็นสิทธิของผู้บริโภค แต่เน้นย้ำว่าทางกระทรวงฯไม่สนับสนุนให้เดินทางบอยคอตต์สินค้าต่างประเทศ "การเดินหน้าบอยคอตต์สินค้านำเข้าจากต่างชาติอาจก่อความเสียหายในด้านการค้าของประเทศ การแบนไม่ซื้อโคคา-โคลาหรือสินค้าอื่นๆ ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับตลาดของเรา เพราะว่าในโลกนี้ตลาดต้องการผู้ผลิตที่ส่งเสริมกันและกัน กรุณาอย่าปล่อยให้ความรู้สึกรักชาติ สร้างปัญหาต่างๆที่ส่งผลกระทบต่อภาคอื่นๆ"
อย่างไรก็ตามทาง Sovicheat บอกว่าระหว่างเกิดวิกฤตกับไทย ผลิตภัณฑ์ภายในประเทศได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขัน แต่เนื่องด้วยสถานการณ์ กัมพูชาต้องการเวลาสำหรับลดพึ่งพิงสินค้าต่างชาติ
(ที่มา:cambojanews)