xs
xsm
sm
md
lg

‘ซัมมิตทรัมป์-ปูติน’ปรับเปลี่ยนโฟกัสแนวทางยุติสงครามยูเครน จากการหยุดยิงมาเน้นเรื่องทำข้อตกลงสันติภาพ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สตีเฟน ไบรเอน


ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จับมือกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ระหว่างการแถลงข่าวร่วมกัน ณ ฐานทัพร่วม เอลเมนดอร์ฟ-ริชาร์ดสัน รัฐอะแลสกา สหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ (15 ส.ค.)
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/08/putin-trump-talks-shift-focus-from-ceasefire-to-peace-deal/)

Putin-Trump talks shift focus from ceasefire to peace deal
by Stephen Bryen
17/08/2025

รายงานข่าวของพวกสื่ออเมริกันและสื่อยุโรป ที่มองการประชุมซัมมิตอะแลสกา ระหว่าง ทรัมป์ กับ ปูติน ว่าคือความล้มเหลว ต่างมองข้ามสิ่งที่ผู้นำทั้งสองมีความเป็นไปได้สูงว่าจะตกลงกันได้ –และหนทางที่ยังเหลืออยู่ในเวลานี้สำหรับ เซเลนสกี

ถ้าหากคุณอ่านพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์อเมริกันและหนังสือพิมพ์ยุโรป คุณก็อาจมีข้อสรุปว่า การประชุมซัมมิตที่อะแลสการะหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ประสบความล้มเหลว มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอก สิ่งที่เกิดขึ้นคือ วอชิงตันได้เปลี่ยนทิศทาง และเพิกถอนการสนับสนุนที่พวกเขาเคยให้แก่การตกลงหยุดยิง

คำแถลงอย่างเป็นทางการของ ทรัมป์ พูดเอาไว้ดังนี้ :

“ช่างเป็นวันยิ่งใหญ่และประสบความสำคัญมากในอะแลสกา! การพบปะหารือกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ดำเนินไปอย่างดีมากๆ เช่นเดียวกับการโทรศัพท์คุยกันในตอนดึกกับประธานาธิบดีเซเลนสกีแห่งยูเครน และผู้นำยุโรปหลายต่อหลายคน รวมทั้งเลขาธิการองค์การนาโต้ ผู้ควรแก่การเคารพยกย่องอย่างสูง

มันได้รับการตัดสินวินิจฉัยจากทุกๆ ฝ่ายทั้งหมดว่า หนทางดีที่สุดสำหรับการยุติสงครามอันโหดเหี้ยมระหว่างรัสเซียกับยูเครน ก็คือการก้าวตรงไปยังข้อตกลงสันติภาพ ซึ่งจะยุติสงครามครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งบ่อยครั้งมักรักษากันเอาไว้ไม่ได้

ประธานาธิบดีเซเลนสกี กำลงจะเดินทางมายัง (วอชิงตัน) ดีซี มาที่ห้องทำงานรูปไข่ (ของทำเนียบขาว) ในวันจันทร์ (18 สิงหาคม) ช่วงบ่าย ถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่างสามารถแก้ไขคลี่คลายไปได้ ถึงตอนนั้นเราก็จะสามารถวางกำหนดการเพื่อการพบปะหารือกับประธานาธิบดีปูติน มีศักยภาพความเป็นไปได้ว่า ชีวิตประชาชนจำนวนเป็นล้านๆ คนจะได้รับการรักษาเอาไว้ได้”


ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินเคียงข้างประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน บนพรมแดงที่ฝ่ายสหรัฐฯปูบนลานบิน เพื่อต้อนรับให้เกียรติแก่ผู้นำรัสเซีย ตั้งแต่ก้าวลงมาจากเครื่องบินแดนหมีขาว ซึ่งนำเขามาที่สนามบินของฐานทัพร่วม เอลเมนดอร์ฟ-ริชาร์ดสัน รัฐอะแลสกา เมื่อวันศุกร์ (15 ส.ค.)

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน หัวเราะกันขณะสนทนาภายในรถยนต์ประจำตำแหน่งของทรัมป์  ทั้งนี้ ปูติน ก้าวขึ้นนั่งรถคันเดียวกันกับ ทรัมป์ ระหว่างเดินทางออกจากสนามบินของฐานทัพร่วม เอลเมนดอร์ฟ-ริชาร์ดสัน รัฐอะแลสกา เมื่อวันศุกร์ (15 ส.ค.)
ผลลัพธ์ที่สำคัญของการประชุมซัมมิตอะแลสกาคือ แรงผลักดันเพื่อให้เกิดข้อตกลงหยุดยิง –ซึ่งสำหรับฝ่ายรัสเซียแล้วมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถใช้เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นอะไรกันได้เลย— เวลานี้ได้ถูกหยิบออกไปจากโต๊ะเจรจาแล้ว การที่เรื่องราวพลิกผันออกมาเช่นนี้ ย่อมจะกลายเป็นเรื่องชวนช็อกใหญ่โตสำหรับ เซเลนสกี และยุโรป ถึงแม้ เซเลนสกี ได้ประกาศออกมาแล้วว่าเขาจะไปยังกรุงวอชิงตันในวันจันทร์เพื่อพบหารือกับทรัมป์

ระเบียบวาระในเวลานี้ คือข้อตกลงสันติภาพที่เป็นจริง ไม่ใช่ข้อตกลงหยุดยิง เรานั้นไม่ทราบอะไรเลยเกี่ยวกับเงื่อนไขต่างๆ ที่ทรัมป์จะเสนอแนะออกมา แต่ที่แน่ๆ คือมันจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนกันใหม่ในเรื่องดินแดน ทรัมป์จะพยายามเพื่อโน้มน้าว เซเลนสกี ให้ตกลงร่วมมือด้วย ถึงแม้ว่าการวางเดิมพันอยู่ข้างที่ว่าเขาจะไม่ยินยอมหรอก จะมีโอกาสชนะสูงทีเดียว เช่นเดียวกับพวกยุโรปที่หนุนหลังเขาอยู่ก็น่าจะไม่ยินยอมเหมือนกัน

ถ้าหากคำทำนายที่กล่าวเอาไว้ข้างต้นนี้กลายเป็นความจริงแล้ว ทรัมป์ก็จำเป็นจะต้องขบคิดพิจารณาว่าจะทำอย่างไรต่อไป เขาอาจจะถอยหลังกลับมาพยายามบีบคั้นฝ่ายรัสเซียด้วยมาตรการแซงก์ชั่นเพิ่มมากขึ้นหรือด้วยมาตรการลงโทษอย่างอื่นๆ แต่นั่นก็จะต้องมีการหันหัวเลี้ยวกลับกันอีกครั้งหนึ่งและจะไม่ประสบผลอะไร

พวกที่อยู่ในแวดวงทางด้านนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯเวลานี้ จำนวนมากทีเดียวกำลังวางเดิมพันพนันว่า เศรษฐกิจรัสเซียนั้นอยู่ในสภาพเลวร้ายเหลือเกินจนกระทั่งวิสาหกิจต่างๆ ของรัสเซียโดยรวมน่าจะพังทะลายลงมาถ้าหากฝ่ายตะวันตกเพิ่มแรงกดดันใส่แดนหมีขาวให้หนักหน่วงขึ้นอีก สิ่งดีๆ ที่พวกประมาณการตามแนวทางนี้วาดหวังจะได้เห็นก็คือ รัสเซียจะยอมแพ้ หรือไม่รัฐบาลปูตินก็จะล่มสลาย

อย่างไรก็ดี แม้กระทั่งในสภาวการณ์ที่เลวร้ายอย่างยิ่ง ภายหลังการพังพินาศของสหภาพโซเวียตและการล้มครืนของค่าเงินรูเบิล โดยที่ผู้คนชาวรัสเซียมากมายมหาศาลประสบกับการว่างงาน โรงงานต่างๆ ปิดทำการ และอัตราเงินเฟ้อพุ่งทะยานอย่างบ้าระห่ำ บอริส เยลตซิน (Boris Yeltsin) ที่เวลานั้นเป็นประธานาธิบดีของรัสเซีย ก็ยังคงพบหนทางที่จะเดินหน้าต่อไป และรัสเซียก็ไม่ได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นมา ครั้นแล้วพวกสถาบันต่างๆ ของรัฐบาลก็เริ่มต้นฟื้นฟูอำนาจความรับผิดชอบของพวกเขากลับขึ้นมาได้ใหม่ คณะบริหารของเยลตซินมีอายุยืนยาวไปได้นาน 8 ปี ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยผู้นำที่มีแนวคิดอนุรักษนิยมยิ่งกว่าและเผด็จอำนาจยิ่งกว่า นั่นคือ วลาดิมีร์ ปูติน

มันเป็นเรื่องยากลำบากมากที่จะอ่านอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนในรัสเซียให้ถูกต้องแม่นยำกันจริงๆ เราพอจะสามารถพูดอย่างกว้างๆ เป็นการทั่วไปได้ว่า ชาวรัสเซียนั้นชื่นชอบความมีระเบียบและความแน่นอน และไม่ชอบสงคราม ถ้าหากเกิดความรู้สึกแข็งขืนขึ้นมาในหมู่สาธารณชนชาวรัสเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับชั้นบนสุดของสังคมรัสเซีย ว่าสงครามยูเครนคือความวิบัติหายนะแล้ว เราก็ควรคาดหวังได้ว่าจะมองเห็นหลักฐานของเรื่องนี้ปรากฏออกมา

เมื่อตอนที่การรุกรานอัฟกานิสถานของรัสเซียกลายเป็นเรื่องเลวร้ายซึ่งใครๆ ก็ไม่ชมชอบ ประชาชนชาวรัสเซีย โดยเฉพาะพวกโนเมนคลาตูรา (nomenklatura) ก็เรียกร้องต้องการให้รัสเซียยุติการเกี่ยวข้องพัวพันทางทหารในประเทศนั้น หลังจากสงครามในอัฟกานิสถานดำเนินมาได้เกือบๆ 10 ปี กองทัพรัสเซียก็ถอนตัวออกไปในเดือนพฤษภาคม 1988 และพอถึงเดือนกุมภาพันธ์ 1989 ทหารรัสเซียก็ไปจากอัฟกานิสถานทั้งหมด
(โนเมนคลาตูรา nomenklatura ชนชั้นนำในระบบราชการของอดีตสหภาพโซเวียต ซึ่งทั้งหมดต่างเป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์ ที่เป็นพรรคปกครองสหภาพโซเวียต ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Nomenklatura)

ชาวรัสเซียคัดค้านสงครามอัฟกานิสถาน หลักๆ เลยเนื่องมาจากจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตาย โดยในสงครามครั้งนั้น มีทหารรัสเซียถูกสังหารไปราว 26,000 คนและบาดเจ็บอีก 35,000 คน ซึ่งน้อยกว่าตัวเลขผู้บาดเจ็บล้มตายในยูเครนเป็นอย่างมาก ในสงครามเชชเนีย (Chechen wars) ซึ่งเป็นดินแดนภายในรัสเซีย มีความเป็นไปได้สูงว่ากองทัพรัสเซียสูญเสียกำลังทหารไป 15,000 คน ถึงแม้ไม่มีการเผยแพร่ตัวเลขอย่างเป็นทางการออกมา

ในกรณีของเชชเนียนี้ มีหน่วยงานศึกษาวิจัยหลายแห่งอย่างเช่น มูลนิธิเจมส์ทาวน์ ( Jamestown Foundation) ออกมาโต้แย้งว่าสาธารณชนชาวรัสเซียนั้นสนับสนุนให้ทางการมอสโกยอมตกลงรอมชอมกับพวกกบฎชาวเชชเนียโดยผ่านการเจรจากัน รวมทั้งยังแสดงท่าทีคัดค้านที่ทางการยังคงดำเนินการสู้รบต่อไปอีก อย่างไรก็ดี ในท้ายที่สุด กองทัพรัสเซียก็ประสบความสำเร็จในการปราบปรามฝ่ายต่อต้านชาวเชชเนียได้อย่างราบคาบ โดยที่ในระหว่างช่วงเวลานั้น สาธารณชนชาวรัสเซียส่วนใหญ่แล้วยังคงวางเฉยไม่ได้แสดงปฏิกิริยาคัดค้านการปราบปรามอะไรนัก

หนึ่งในลักษณะอสมมาตร (asymmetry) ของการสู้รบขัดแย้งยูเครนคราวนี้ก็คือ ผลกระทบทางการเมืองของการที่ยูเครนใช้โดรนและขีปนาวุธโจมตีใส่ดินแดนรัสเซีย การโจมตีเหล่านี้ได้รับการสันนิษฐานกันว่า วางแผนกันขึ้นเพื่อตอบโต้การที่รัสเซียโจมตีทางอากาศแบบไม่บันยะบันยันเล่นงานทั้งพวกโครงสร้างพื้นฐานสำคัญยิ่งยวด และเป้าหมายทางทหารของยูเครน ตลอดจนเป้าหมายพลเรือนในขอบเขตจำกัดยิ่งกว่า

แต่อีกด้านหนึ่งของเรื่องนี้ก็คือ การโจมตีด้วยโดรนและขีปนาวุธของยูเครนนี้ ก็ส่งผลกระทบในทางทำให้สาธารณชนชาวรัสเซียให้ความสนับสนุนแก่ “การปฏิบัติการพิเศษทางทหาร” ของรัสเซียในยูเครนด้วยเช่นกัน พูดง่ายๆ ก็คือ การโจมตีของยูเครนกลายเป็นการเสริมส่งมติมหาชนแดนหมีขาวให้โน้มเอียงไปในทางเห็นชอบกับ “การปฏิบัติการพิเศษทางทหาร”

มีข้อสมควรพิจารณาด้วยว่า ทั้งๆ ที่ถูกโดรนและขีปนาวุธรัสเซียโจมตีใส่ไม่ขาดสาย แต่มติมหาชนในยูเครนกลับกำลังแปรเปลี่ยนอย่างชัดเจนไปในทางคัดค้านการทำสงครามต่อไป โดยปราศจากการรอมชอมทางการเมือง ดังที่แสดงให้เห็นจากผลสำรวจความคิดเห็นในยูเครนของสำนักโพล แกลลัป (Gallup) เมื่อเร็วๆ นี้

ขณะเดียวกัน มีรายงานว่าคนหนุ่มและคนสาวเป็นจำนวนมากทีเดียว กำลังทอดทิ้งผละจากยูเครนเพื่อหลบหนีสงครามและการถูกเกณฑ์ทหาร ตามรายงานของสื่อเทเลกราฟของสหราชอาณาจักร มีชายชาวยูเครนที่อยู่ในวัยทำการสู้รบได้ จำนวนอย่างน้อยที่สุด 650,000 คนทีเดียวได้หลบหนีออกจากประเทศไปแล้วนับตั้งแต่การสู้รบขัดแย้งกับรัสเซียคราวนี้ได้บานปลายขยายตัวขึ้นมาในปี 2022

ตัวเลขนี้ยังไม่ได้รวมถึงผู้คนอีกนับพันนับหมื่นซึ่งเวลานี้ยังอยู่ในยูแครน และกำลังคอยหลบซ่อนหลีกหนีพวกคนที่มีอำนาจ หรือไม่ก็คอยจ่ายสินบนเพื่อจะได้ไม่ต้องเข้ากองทัพยูเครน

เซเลนสกี นั้นยึดมั่นอยู่กับแนวทางอันแข็งกร้าวไม่ยอมประนีประนอมเลยในเรื่องการรอมชอมใดๆ ก็ตามทีกับรัสเซีย เขาปฏิเสธไม่ยอมทำข้อตกลงทางด้านดินแดนใดๆ ทั้งสิ้น

ดังนั้น เมื่อเขาไปต่อรองกับฝ่ายวอชิงตัน เขาก็น่าที่จะกระทำ 2 สิ่งนี้ ได้แก่ พยายามโน้มน้าวให้พวกผู้สนับสนุนเขาในกรุงวอชิงตันหนุนหลังจุดยืนของเขาในเรื่องที่จะไม่ยอมอ่อนข้อสละดินแดนใดๆ ทั้งสิ้น และพยายามทำให้ ทรัมป์ ยอมหันมาเน้นหนักอีกครั้งหนึ่งกับเรื่องการจัดหาหลักประกันทางด้านความมั่นคงให้แก่ยูเครน รวมทั้งเรียกร้องให้รัสเซียถอนทัพออกไปจากดินแดนของยูเครน

แน่นอนที่สุดว่าเขาจะต้องขอร้องทรัมป์จัดหาจัดส่งอาวุธและเงินทองมาให้มากขึ้น และดำเนินการแซงก์ชั่นรัสเซียอย่างหนัก ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าหลังจากได้ประชุมซัมมิตกับปูตินแล้ว ทรัมป์จะตอบสนองต่อข้อเรียกร้องเหล่านี้อย่างไรต่อไป

เฉพะเรื่องการค้ำประกันความมั่นคงนั้น ถึงแม้มีบางคนบางฝ่ายแสดงความสนับสนุนให้ส่งกำลังทหารไปยังยูเครน แต่ความเป็นจริงที่น่าเศร้าใจมีอยู่ว่า ไม่มีรัฐยุโรปใดๆ เลย --โดยยังไม่ต้องพูดถึงเจาะจงไปยังสหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, หรือเยอรมนี-- ที่กำลังจะจัดส่งทหารแม้เพียงแค่หนึ่งคนไปที่นั่น ยกเว้นแต่ในกรณีที่สหรัฐฯตัดสินใจจัดส่งกองทหารไปยูเครน แล้วชาติยุโรปเหล่านี้แค่ส่งกำลังพลไปหนุนหลังเท่านั้น

ทรัมป์เคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า สหรัฐฯจะไม่ส่งกำลังทหารภาคพื้นดินใดๆ เข้าไปในยูเครน ดังนั้น การค้ำประกันความมั่นคงใดๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นมาจึงจะต้องอยู่ในรูปเสมือนจริง โดยที่ไม่มีกองทหาร หรือไม่ก็จะจำกัดอยู่เพียงแค่การบินเหนือน่านฟ้า และการตรวจการณ์สอดส่องด้วยดาวเทียมเท่านั้น เซเลนสกีไม่น่าจะชอบใจเพียงแค่การค้ำประกันความมั่นคงแบบเสมือนจริง แม้กระทั่งแบบที่มีเครื่องบินสหรัฐฯบินเหนือน่านฟ้า แน่นอนทีเดียว ทรัมป์ยังอาจจะเปลี่ยนใจได้อีก ทว่ามันก็จะเป็นการนำเอาชื่อเสียงเกียรติคุณของสมัยแห่งการเป็นประธานาธิบดีของเขาเข้ามาเสี่ยงทีเดียว ถ้าหากผลลัพธ์สุทธิออกมาว่าสหรัฐฯมีการพัวพันเกี่ยวข้องทางกายภาพในสงครามยูเครน

เครื่องบินขับไล่ F-35 ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ บินคุ้มกันเครื่องบิน Ilyushin Il-96-300 ของกองบินเที่ยวบินพิเศษรัสเซีย ที่กำลังนำประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เดินทางกลับรัสเซีย ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในวันศุกร์ (15 ส.ค.)
เป็นเรื่องแย่มากๆ ที่เราไม่ได้มีเอกสารบันทึกอย่างเป็นทางการที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการสนทนาที่เกิดขึ้นจริงๆ ระหว่างทรัมป์กับปูติน ณ ฐานทัพร่วมเอลเมนดอร์ฟ-ริชาร์ดสัน ( Joint Base Elmendorf-Richardson) ในอะแลสกาเมื่อวันศุกร์ (15 ส.ค.) ระหว่างการประชุมซัมมิตครั้งนี้ ทรัมป์มีการแสดงออกด้วยการข่มขู่ในเชิงสัญลักษณ์อยู่หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เครื่องบินขับไล่ F-35 และการส่งเครื่องบินหลายหลากบินเหนือท้องฟ้าโดยที่ในจำนวนนี้มี B-2 เครื่องบินทิ้งระเบิดเทคโนโลยีหลีกเร้นเรดาร์รวมอยู่ด้วยหนึ่งลำ ตลอดจนการไม่ใช้พิธีการทูตตามปกติมาต้อนรับปูติน (ไม่มีแถวทหารกองเกียรติยศ และไม่มีการเปิดเพลงชาติ) ซึ่งล้วนแล้วแต่ยากจะพบเห็นในเจอะเจอกันทางการทูตของผู้นำระดับประมุขแห่งรัฐ

ยิ่งกว่านั้น การใช้ฐานทัพทางทหารเป็นสถานที่พบปะกัน โดยแม้จะมีคำอธิบายว่าเนื่องจากต้องคำนึงถึง “มาตรการการรักษาความปลอดภัย” อย่างไรเสียก็เป็นเรื่องที่ไม่เหมาสม ทว่าฝ่ายรัสเซียซึ่งแสดงความกระตือรือร้นที่จะบอกกล่าวเล่าเรื่องจากจุดยืนของพวกเขาให้ทรัมป์ฟัง รวมทั้งมีเจตนาที่จะแสดงความเคารพนับถืออย่างลึกซึ้งต่อสหรัฐฯ ก็ได้ยอมรับทั้งสถานที่หารือตลอดจนเงื่อนไขอื่นๆ แม้กระทั่งการใช้ฝูงเครื่องบินขับไล่สหรัฐฯเข้าคุ้มกันเครื่องบินประจำตำแหน่งของปูติน ขณะเดินทางมาถึง

ส่วนสำคัญที่สุดก็คือ อย่างน้อยจวบจนถึงเวลานี้ นโยบายของสหรัฐฯก็ได้มีการปรับเปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว สหรัฐฯและทรัมป์ไม่ได้สนับสนุนการหยุดยิงอีกต่อไป แต่ต้องการให้แก้ไขปัญหาสงครามยูเครนโดยผ่านการเจรจากัน เรื่องนี้จะต้องใช้เวลายาวนานแค่ไหน และกระทั่งว่าเรื่องนี้จะมีความเป็นไปได้หรือไม่นั้น ยังคงต้องคอยติดตามกันต่อไป

เวลาเดียวกันนี้ สงครามนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไป โดยส่วนสำคัญที่สุดได้แก่การที่รัสเซียจะยังคงกดดันเพื่อตีเมืองโปครอฟสก์ (Pokrovsk) ให้แตก และเพื่อขยายเส้นแนวหน้าให้แผ่กว้างไกลออกไปทางทิศตะวันตก ยูเครนซึ่งก็อยู่ในสภาพต่อสู้อย่างเต็มกำลังจนสุดเหยียดอยู่แล้ว เวลานี้ยังต้องเจอกับความไม่แน่ไม่นอนในเรื่องการจัดหายุทธสัมภาระเข้าอีก จึงกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์

สตีเฟน ไบรเอน เป็นผู้สื่อข่าวพิเศษของเอเชียไทมส์ และเป็นอดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหมฝ่ายนโยบายของสหรัฐฯ ข้อเขียนชิ้นนี้ทีแรกสุดปรากฏอยู่บนจดหมายข่าว Weapons and Strategy ในแพลตฟอร์ม Substack ของเขา
กำลังโหลดความคิดเห็น