xs
xsm
sm
md
lg

อิสราเอลโจมตีอิหร่านคือความล้มเหลวครั้งใหญ่ของพลังอำนาจและการทูตสหรัฐฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: บิลล์ เอมมอตต์


ขีปนาวุธอิหร่านลูกหนึ่งที่โจมตีใส่กรุงเทลอาวีฟ ของอิสราเอล ทำให้เกิดการระเบิดและไฟลุกไหม้ เมื่อคืนวันอาทิตย์ (15 มิ.ย.)
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/06/israeli-attack-on-iran-a-major-failure-of-us-power-and-diplomacy/)

Israeli attack on Iran a major failure of US power and diplomacy
by Bill Emmott
16/06/2025

ความล้มเหลวคราวนี้ของสหรัฐฯไม่ควรที่จะกล่าวโทษให้เป็นความผิดพลาดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไปเสียทั้งหมด เนื่องจากเส้นทางที่จะก้าวเดินไปสู่สิ่งนี้ได้สร้างขึ้นมาเรียบร้อยแล้วโดยผู้เป็นประธานาธิบดีอเมริกันคนก่อนหน้า นั่นคือ โจ ไบเดน กระนั้นก็ตาม มันยังคงเปิดโปงให้เห็นถึงรูปร่างลักษณะที่แท้จริงของนโยบายการต่างประเทศของทรัมป์อยู่ดี นั่นคือ การพูดคุยโวใหญ่โตเสียงดัง บวกกับขอบเขตความสนอกสนใจที่แสนสั้น ซึ่งกำลังนำไปสู่ความไม่ปะติดปะต่อกันในเชิงยุทธศาสตร์

ถ้าหากอเมริกาไม่ต้องการให้อิสราเอลเข้าโจมตีอิหร่านและสิ่งปลูกสร้างทางนิวเคลียร์ของอิหร่านอย่างแท้จริงแล้ว การเปิดฉากปฏิบัติการซึ่งเวลานี้ได้กลายเป็นสงครามแบบเต็มพิกัดไปแล้วในความเป็นจริง ของพันธมิตรใกล้ชิดของตนเองรายนี้ ก็จะต้องถือว่าเป็นความล้มเหลวครั้งมโหฬารของพลังอำนาจและของการทูตสหรัฐฯ

ความล้มเหลวดังกล่าวไม่ควรที่จะกล่าวโทษให้เป็นความผิดพลาดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไปเสียทั้งหมด เนื่องจากเส้นทางที่จะก้าวเดินไปสู่สิ่งนี้ได้สร้างขึ้นมาเรียบร้อยแล้วโดยผู้เป็นประธานาธิบดีอเมริกันคนก่อนหน้า นั่นคือ โจ ไบเดน กระนั้นก็ตาม มันยังคงเปิดโปงให้เห็นถึงรูปร่างลักษณะที่แท้จริงของนโยบายการต่างประเทศของทรัมป์อยู่ดี นั่นคือ การพูดคุยโวใหญ่โตเสียงดัง บวกกับขอบเขตความสนอกสนใจที่แสนสั้น ซึ่งกำลังนำไปสู่ความไม่ปะติดปะต่อกันในเชิงยุทธศาสตร์

นี่คือการโจมตีซึ่งพวกคณะบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐฯคนแล้วคนเล่าในตลอดช่วงเวลาอย่างน้อยที่สุด 2 ทศวรรษที่ผ่านมามีความหวาดหวั่นไม่ต้องการให้เกิดขึ้นเลย และด้วยเหตุนี้จึงได้พยายามหาหนทางป้องกันหลีกเลี่ยง พวกเขาหวาดกลัวการโจมตีเช่นนี้เนื่องจากผลพวงต่อเนื่องของสงครามระหว่างชาติที่ทราบกันดีว่าเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์เพียงหนึ่งเดียวของตะวันออกกลางในปัจจุบัน ซึ่งก็คือ อิสราเอล กับประเทศที่มีกำลังทหารขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอย่างอิหร่าน เป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดทายได้ว่าจะออกมารูปไหน อีกครั้งยังอาจจะมียากลำบากอย่างน่ากลัวอันตรายยิ่งที่จะควบคุมจำกัดให้อยู่ในขอบเขตได้

ยิ่งกว่านั้น ฝ่ายอเมริกันมีความหวาดหวั่นการโจมตีเช่นนี้ ยังเนื่องจากว่า –แม้กระทั่งในขณะที่พวกเขาไม่ต้องการให้อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของตนเองขึ้นมา และดังนั้นจึงรู้สึกเห็นอกเห็นใจความปรารถนาของอิสราเอลที่จะสกัดกั้นพัฒนาการดังที่ว่า –พวกเขามีความแน่ใจทีเดียวว่าการโจมตีทิ้งระเบิดจะไม่มีทางสามารถทำลายพวกสิ่งปลูกสร้างสำหรับใช้ในการเพิ่มสมรรถนะยูเรเนียมตลอดจนในเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านให้ราบเรียบไปได้

พวกสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ตั้งกระจัดกระจายออกไปอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ อีกทั้งซุกซ่อนลึกลงไปใต้ดิน นี่จึงไม่ใช่เป็นเรื่องแค่ต้องการ “การโจมตีอย่างละเอียดแม่นยำ” เพียงไม่กี่ครั้งก็จะบรรลุภารกิจ

เราคงสามารถเพียงแค่คาดเดาว่า ทำไมนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล จึงเลือกที่จะทำการโจมตีในตอนนี้ ถึงแม้มีความชัดเจนจนแน่ใจได้ทีเดียวว่า พวกหน่วยงานข่าวกรองของอิสราเอลประสบความสำเร็จในการแทรกซึมเข้าไปในแวดวงคณะผู้นำทางการเมือง, การทหาร, และวิทยาศาสตร์ของอิหร่านได้อย่างล้ำลึกน่าประทับใจยิ่ง แต่ข่าวสารต่างๆที่ออกมาจากอิสราเอล ซึ่งมีความขัดแย้งกันในขอบเขตค่อนข้างกว้าง เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าอิหร่านใกล้แค่ไหนแล้วที่จะสามารถผลิตอาวุธนิวเคลียร์ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้สักลูกหนึ่ง –โดยมีทั้งที่ระบุว่า 1 ปี, หลายๆ เดือน, ไม่กี่สัปดาห์—บ่งชี้ให้เห็นว่าความรู้ของฝ่ายอิสราเอลเกี่ยวกับสถานะแท้จริงของโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านนั้น ยังคงไม่ค่อยละเอียดแม่นยำเท่าใดนัก

เปลวไฟลุกลามขึ้นมาจากคลังน้ำมันแห่งหนึ่งในกรุงเตหะราน, อิหร่าน ภายหลังดูเหมือนถูกอิสราเอลโจมตีในช่วงก่อนรุ่งสางวันอาทิตย์ (15 มิ.ย.)

เจ้าหน้าที่รับมือเหตุฉุกเฉิน ปฏิบัติงานในเขตที่พักอาศัยแห่งหนึ่งของเมืองบัต ยัม ประเทศอิสราเอล ซึ่งถูกขีปนาวุธจากอิหร่านยิงใส่ ในวันอาทิตย์ (15 มิ.ย.)
เมื่อเปิดฉากสงครามครั้งนี้ขึ้นมาแล้ว เนทันยาฮูก็กำลังติดตามผลด้วยการโจมตีอย่างทรงพลังเพิ่มขึ้นต่อไปอีก แต่อย่างที่การโจมตีตอบโต้กันระลอกแรกแสดงให้เห็น--ซึ่งก็รวมไปถึงการที่ทั้งสองฝ่ายต่างสามารถเข้าโจมตีใส่เมืองสำคัญของอีกฝ่ายหนึ่งทั้งเทลอาวีฟและเตหะราน เรื่องนี้จะไม่ใช่เป็นเพียงแค่การเล่นงานใส่กันเชิงสัญลักษณ์อย่างต่อเนื่องสักชุดหนึ่งเท่านั้น คำถามใหญ่อยู่ที่ว่าอิหร่านจะหยุดยั้งเพียงแค่เป้าหมายอิสราเอลเท่านั้น หรือว่าจะครอบคลุมถึงพวกเป้าหมายอเมริกันด้วย โดยบางทีอาจจะเป็นพวกฐานทัพทางทหาร, เรือของกองทัพเรือ, หรือพวกสถานที่ทางการทูตซึ่งตั้งอยู่ทั่วทั้งตะวันออกกลาง แล้วจากนั้นก็จะเกิดคำถามใหญ่ยิ่งกว่านั้นอีก ซึ่งคืออเมริกาจะตอบโต้สิ่งที่เกิดขึ้นเช่นนี้อย่างไร

ในความเป็นจริง เนทันยาฮูอาจจะคาดคำนวณเอาไว้เป็นอย่างดีแล้วด้วยซ้ำว่า มันจะต้องผ่านการที่อิหร่านโจมตีใส่พวกเป้าหมายอเมริกันนั่นแหละ จึงจะสามารถดึงเอาฝ่ายทหารสหรัฐฯเข้ามาในสงครามครั้งนี้โดยตรงได้

กลอุบายของเขาอาจจะเป็นการไปพูดอะไรบางอย่างกับประธานาธิบดีทรัมป์ อย่างเช่น “เราเริ่มต้นสิ่งนี้ขึ้นมาแล้ว แต่พวกเราทั้งหมดต่างรู้ดีว่าเราไม่สามารถยุติมันได้อย่างสมบูรณ์หรอก มีแต่ต้องอาศัยพวกระเบิดทำลายบังเกอร์พละกำลังมหึมาของอเมริกันเท่านั้น จึงจะสามารถประสบความสำเร็จในการทำลายพวกสิ่งปลูกสร้างทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน การเจรจาของคุณกับอิหร่านนะยังไม่ได้ไปถึงไหนเลย มาร่วมกับเราเถอะ แล้วเราจะสามารถยุติอันตรายนี้ลงได้อย่างน้อยที่สุดก็ 1 ชั่วอายุคนละ บางทีอาจจะนานกว่านั้นด้วยซ้ำ”

แรงกดดันดูเหมือนกำลังขยายตัวเพิ่มพูนขึ้นภายในแวดวงชาวพรรครีพับลิกันในอเมริกาแล้ว เพื่อให้ทำอย่างที่ว่ามานี้แหละ

ความล้มเหลวของพลังอำนาจและการทูตของอเมริกาบังเกิดขึ้นในคราวนี้ เนื่องมาจากการที่ตั้งแต่ทีแรกตอนสมัยไบเดนแล้ว แต่ยิ่งเพิ่มทวีมากขึ้นอีกในสมัยทรัมป์ อเมริกาได้ปล่อยให้ เนทันยาฮู มีอิสระสามารถทำอะไรได้ตามที่ใจเขาปรารถนาทั้งในกาซา, เลบานอน, ซีเรีย, และอิหร่าน ที่ต้องบอกว่าอเมริกาให้อิสระเสรีแก่อิสราเอลนั้น พิจารณาได้จากการที่พวกเขายังคงจัดหาจัดส่งอาวุธให้แก่อิสราเอลต่อไปไม่ว่าอิสราเอลจะกระทำอะไรลงไปก็ตามที และจากการที่ไม่เคยมีการติดตามผลใดๆ หลังจากที่ ไบเดน หรือ ทรัมป์ อาจจะส่งเสียงตักเตือนหรือวิพากษ์วิจารณ์อิสราเอลออกไป

แล้วทรัมป์ยังทำให้สิ่งที่ปรากฏออกมาเช่นนี้ยิ่งดูแรงกล้าขึ้นอีกเป็นทวีตรีคูณ ด้วยการที่เขาออกความเห็นอย่างเรื่อยเปื่อยและไม่ได้ผ่านการขบคิดให้ละเอียดถี่ถ้วน ในการสนับสนุนให้เคลื่อนย้ายชาวปาเลสไตน์จำนวนเกือบๆ 2 ล้านคนออกไปจากกาซา เรื่องนี้ย่อมเท่ากับเป็นการล้างเผ่าพันธุ์กันทีเดียว แถมคำพูดความคิดเห็นเช่นนี้ยังเท่ากับเป็นการให้การรับรองอย่างอ้อมๆ แก่ทัศนะของพวกสมาชิกขวาจัดในรัฐบาลอิสราเอลชุดนี้ ซึ่งมองว่าการยินยอมให้จัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ขึ้นมาในดินแดนเวสต์แบงก์และกาซาแบบแยกต่างหากออกไปจากอิสราเอลนั้น ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องไม่พึงปรารถนาเท่านั้น แต่ยังสมควรต้องสกัดขัดขวางอย่างแข็งขันด้วยการหาทางผลักไสชาวปาเลสไตน์ให้โยกย้ายไปอยู่ไกลๆ จากอิสราเอลมากยิ่งขึ้นอีก

ในขณะที่ เนทันยาฮู กำลังฟื้นสงครามของเขาในกาซาเพื่อปราบปรามกำจัดพวกฮามาสอยู่นั้น ตัวประธานาธิบดีทรัมป์เองกำลังโฟกัสความสนใจของเขาไปที่การทำเงินทำทองในซาอุดีอาระเบียและประเทศอื่นๆ ในแถบอ่าว

ผู้ได้รับบาดเจ็บ ได้รับการปฐมพยาบาลในบริเวณถนนสายหนึ่งย่านดาวทาวน์กรุงเตหะราน, อิหร่าน ภายหลังการถล่มโจมตีของอิสราเอลในวันอาทิตย์ (15 มิ.ย.)

ผู้คนเข้ามาหลบภัยใสถานีรถไฟใต้ดินแห่งหนึ่งของเมืองไฮฟา เมืองท่าสำคัญทางภาคเหนือของอิสราเอลเมื่อวันอังคาร (17 มิ.ย.) ท่ามกลางความหวาดกลัวการโจมตีด้วยขีปนาวุธของอิหร่าน
จริงอยู่ คณะบริหารของเขามีการหาทางเจรจาเพื่อให้ได้ข้อตกลงกับเตหะรานในเรื่องโครงการเพิ่มสมรรถนะยูเรเนียมของอิหร่าน อย่างไรก็ตาม การเจรจาพวกนี้เท่าที่ปรากฏให้เห็นจนถึงเวลานี้ ดูไม่น่าที่จะบรรลุข้อตกลงใดๆ ได้ดีไปกว่าข้อตกลงในปี 2015 ซึ่งตัวทรัมป์เองคือผู้ที่โยนทิ้งลงถังขยะเมื่อปี 2018 ระหว่างสมัยแรกแห่งการเป็นประธานาธิบดีของเขา

ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผลสำหรับ เนทันยาฮู ที่จะทึกทักเอาว่า ในเมื่อ ทรัมป์ ไม่ชอบข้อตกลงซึ่งใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า แผนปฏิบัติการร่วมกันอย่างรอบด้าน (Joint Comprehensive Plan of Action) ที่สหรัฐฯ (ในสมัยของบารัค โอบามา) และยุโรป ได้ไปทำความตกลงเอาไว้กับอิหร่านในปี 2015 มาถึงตอนนี้ก็น่าจะสามารถโน้มน้าวชักชวนให้เขาหันมาสนับสนุนแนวทางการใช้กำลังทหารเข้าโจมตีอิหร่าน

มองกันในระยะสั้นแล้ว สมมุติฐานข้อนี้ได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้องด้วยซ้ำไป ทั้งนี้ ถึงแม้อเมริกาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการโจมตีของอิสราเอลในคราวนี้ แต่ความเคลื่อนไหวแรกสุดของ ทรัมป์ คือความพยายามที่จะหาประโยชน์จากภัยคุกคามซึ่งอิสราเอลจะดำเนินการโจมตีต่อไปอีก เพื่อเป็นวิธีการในการบีบบังคับเตหะรานให้ต้องยินยอมอ่อนข้อเพิ่มมากขึ้นในการเจรจานิวเคลียร์กับวอชิงตันซึ่งกำหนดจัดขึ้นที่เมืองหลวงของโอมาน หรือเมื่อการพูดจาลักษณะเช่นนี้ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่อีกครั้งไม่ว่าจะเป็นเมื่อใดและจัดขึ้นที่ไหนก็ตามที ทว่าแผนการเช่นนี้ไม่น่าที่จะประสบความสำเร็จ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องรอไปจวบจนกระทั่งอิหร่านได้ดำเนินการตอบโต้เอาคืนอย่างใหญ่โตตามที่พวกเขาขบคิดเตรียมการอยู่ในใจ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตามที

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาในตอนนี้ –โดยที่เราควรต้องตระเตรียมให้พรักพร้อมทีเดียวเพื่อรับมือกับความเลวร้ายอย่างมากๆ บางประการซึ่งอาจเกิดขึ้นมาได้— การโจมตีนี้ก็จะกลายเป็นการยืนยันความเป็นจริงข้อใหญ่เกี่ยวกับเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ นั่นก็คือถึงแม้ว่ามันเป็นความจริง --อย่างที่อิสราเอลได้พูดออกมาแล้ว และในไม่ช้าไม่นานต่อจากนี้ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทรัมป์เองจะต้องพูดเช่นกัน-- ว่าอิหร่านถูกโจมตีก็เพื่อขัดขวางไม่ให้มีระเบิดนิวเคลียร์ แต่สำหรับฝ่ายอิหร่านและฝ่ายอื่นๆ กลับจะมีความตระหนักรับรู้ขึ้นมาว่า ถ้าหากพวกเขามีระเบิดเช่นว่านี้เอาไว้ในครอบครองเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจะไม่ถูกโจมตีหรอก

แรงจูงใจสำหรับอิหร่าน ก็คล้ายๆ กับ เกาหลีเหนือ, ปากีสถาน, และอินเดีย ก่อนหน้าพวกเขา ความต้องการได้อาวุธนิวเคลียร์มาครอบครองในฐานะเป็นทีเด็ดในการป้องปรามนั้น มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น และแรงจูงใจดังกล่าวยังจะเป็นที่ยอมรับเห็นพ้องด้วยจากประเทศอื่นๆ อีก การพูดเช่นนี้ในแง่หนึ่งมันดูเหมือนกับขัดแย้งกันเอง

การป้องปรามทางนิวเคลียร์ระหว่าง 2 ประเทศที่เป็นปรปักษ์กัน เป็นเรื่องที่สามารถบังเกิดผลเมื่อทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็มีสมรรถนะทางด้านนิวเคลียร์ โดยที่แทบจะแน่นอนทีเดียวว่าอำนาจการป้องปรามเช่นนี้เองได้ช่วยจำกัดขอบเขตการสู้รบระหว่างอินเดียกับปากีสถานเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งปะทุขึ้นเนื่องจากเรื่องการปราบปรามการก่อการ้ายและเรื่องดินแดนแคว้นแคชเมียร์ที่ประเทศทั้งสองช่วงชิงกันอยู่ ทว่าเมื่อ 2 ประเทศซึ่งเป็นปรปักษ์กันอยู่ กลับมีเพียงรายเดียวเท่านั้นที่มีสมรรถนะดังที่ว่า มันก็อาจจะกลายเป็นปัจจัยก่อให้เกิดความไร้เสถียรภาพขึ้นมา

อดีตบรรณาธิการใหญ่ (editor-in-chief) ของนิตยสาร ดิ อีโคโนมิสต์ (The Economist) บิลล์ เอมมอตต์ ปัจจุบันเป็นประธานของสมาคมญี่ปุ่นแห่งสหราชอาณาจักร (Japan Society of the UK), สถาบันระหว่างประเทศเพื่อยุทธศาสตร์ศึกษา (International Institute for Strategic Studies หรือ IISS) และ สถาบันการค้าระหว่างประเทศ (International Trade Institute)

บทความนี้ในเวอร์ชั่นภาษาอิตาลี ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่โดยหนังสือพิมพ์ ลา สตัมปา (La Stampa) และสามารถค้นหาเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษได้บนแพลตฟอร์ม substack Bill Emmott’s Global View
กำลังโหลดความคิดเห็น