ความท้าทายต่างๆนานา ไม่ว่าจะเป็นห่วงโซ่อุปทานจากไทยผลกระทบจากข้อพิพาทด้านชายแดน จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ การโอนเงินกลับประเทศและการลงทุนของต่างประเทศที่ลดลง เหล่านี้ก่อความเสียหายต่อการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี)ของกัมพูชา ตามคำเตือนของ Mekong Strategic Capital พร้อมแนะว่ามาตรการกระตุ้นทางการคลังอย่างเจาะจงและการปฏิรูปเพิ่มเติม อาจช่วยบรรเทาผลกระทบจากความท้าทายต่างๆนานาเหล่านั้น
จากการวิเคราะห์ของ Mekong Strategic Capital (MSC) บริษัทที่ปรึกษาและลงทุนที่มีสำนักงานใหญ่ในกัมพูชา คาดกรณ์ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชาจะอยู่ที่ราว 3% ในปี 2025 และ 2026 ปรับลดจากที่เคยคาดการณ์ก่อนหน้านี้ 4% สืบเนื่องจากผลกระทบต่างๆ นานา แต่ขณะเดียวกันก็คาดหมายว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวกลับมาแข็งแกร่งขึ้นในปี 2027
แม้ผลกระทบโดยตรงจากมาตรการรีดาษีของสหรัฐฯ จะลดน้อยลงไป หลังรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศกำหนดเพดานภาษีสินค้านำเข้าจากกัมพูชาเหลือ 19% แต่ทาง MSC บอกว่าความเสี่ยงต่างๆในตอนนี้ ยังอาจมีบ่อเกิดจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะทำผลงานได้ดีแค่ไหนในอนาคตอันใกล้นี้
รายงานของสำนักข่าวคิริโพสต์ระบุว่า การท่องเที่ยวในพื้นที่ต่างๆ ทางภาคเหนือของกัมพูชา มีจำนวนนักท่องเที่ยวดำดิ่งเป็นประวัติการณ์ สืบเนื่องจากการปิดจุดผ่านแดนระหว่างกัมพูชาและไทย ขณะเดียวกันตั๋วเข้าขมนครวัด ซึ่งเป็นตัวแทนของการซื้อโดยรวมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ก็ลดลง 19% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เหลือ 1.7 ล้านดอลลาร์ในเดือนมิถุนายนปีนี้ ท่ามกลางประเด็นพิพาทชายแดน
MSC ระบุว่าประเด็นชื่อเสียงของประเทศได้ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ซึ่งอาจเลวร้ายลงไปอีกเนื่องจากความขัดแย้งยังไม่จบลง พร้อมเน้นว่าก่อนหน้านี้สัดส่วนทางเศรษฐกิจของการท่องเที่ยว ก็ลดลงอยู่ก่อนแล้วเหลือเพียง 9% ถึง 10% ของจีดีพีในปี 2024 จากเดิมที่เคยอยู่ในระดับ 10% ถึง 12% ของจีดีพีในช่วงปี 2019
"มีแนวโน้มที่พวกนักท่องเที่ยวจะหลักเลี่ยงการจองตั๋ววันหยุด สำหรับจุดหมายปลายทางต่างๆ ที่พวกเขาอ่านข่าวเจอว่ามีความขัดแย้งติดอาวุธ" MSC พร้อมคาดการณ์ว่ายอดนักท่องเที่ยวจะลดลงราว 10% สืบเนื่องจากความขัดแย้งชายแดน "ถ้ามองในแง่ดี มันคือโอกาสพูดคุยหารือกันในบรรดาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรมนี้ และหลักฐานที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือยอดขายตั๋วสำหรับนครวัด ลดลง 20% ในช่วง 2 เดือนหลังสุด(มิถุนายนและกรกฏาคม)"
ทาง MSC ชี้ว่าการลดนำเข้าสินค้าจากไทย ทำให้สินค้ามีราคาแพงขึ้นและฉุดรั้งจีดีพี แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นการสร้างโอกาสสำหรับภาคธุรกิจท้องถิ่นที่จะเข้าแทนที่สินค้าไทย และเปิดโอกาสให้กัมพูชาเพิ่มความยึดหยุ่นในห่วงโซุอุปทาน มุ่งเน้นไปที่ความหลากหลาย
อย่างไรก็ตาม MSC เตือนว่ายอดการส่งเงินกลับประเทศน่าจะหดตัวลงอย่างมาก เนื่องจากมีแรงงานกัมพูชากว่า 780,000 คน เดินทางกลับบ้าน นับตั้งแต่ความขัดแย้งตามแนวชายแดนเลวร้ายลง โดยแรงงานกัมพูชาส่งเงินกลับประเทศราวๆ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(96,000ล้านบาท) ในแต่ละปี ส่วนใหญ่เป็นลูกจ้างในภาคการเกษตร ก่อสร้างและภาคโรงงาน
บริษัทที่ปรึกษาและลงทุนที่มีสำนักงานใหญ่ในกัมพูชาแห่งนี้ บอกว่ารัฐบาลจำเป็นต้องคลอดมาตรการกระตุ้นทางการคลังมโหฬาร มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลังหลายๆอย่างจำเป็นต้องดำเนินการ เพื่อปกป้องเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางสังคม
MSC แนะนำว่าโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดเล็กสามารถดำเนินการได้ภายใน 6 เดือน อย่างเช่นโครงการก่อสร้างถนนในระดับจังหวัด ก่อสร้างใหม่หรือปรับปรุงสถาบันการศึกษาต่างๆ ในนั้นรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานทางไอที
นอกจากนี้แล้ว "ควรเร่งรัดโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เพื่อดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติโดยครงและสนับสนุนรายได้แก่บรรดาคนงานที่เดินทางกลับจากไทย" MSC กล่าว ส่วนในด้านฟื้นฟูการท่องเที่ยว ทาง MSC ชี้แนะว่ารัฐบาลควรลงทุน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯถึง 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการรณรงค์โฆษณาระหว่างประเทศ ในฐานะเป็นช่องทางด้านการตลาดที่จะเป็นประโยชน์แก่ภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
(ที่มา:คิริโพสต์)