ผลงานความสำเร็จของเครื่องบินกริพเพน ในความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ช่วยเพิ่มความสนใจจากบรรดาว่าที่ผู้ซื้อรายอื่นๆเป็นอย่างมากในตลาดอาวุธโลก ด้วยเหตุนี้ทางเว็บไซต์ด้านกลาโหม "เดอะเนชันแนลอินเทอเรสต์" จึงลงความเห็นเครื่องบินขับไล่ที่ผลิตโดยสวีเดนรุ่นนี้ คือผู้ชนะที่แท้จริงในสมรภูมินี้
เดอะเนชันแนลอินเทอเรสต์ ระบุว่าครั้งที่ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ปะทะขึ้นช่วงสั้นๆแต่หนักหน่วง ส่วนหนึ่งในข้อพิพาทด้านเขตแดนใกล้กับพื้นที่เขาพระวิหาร มันถูกจับตาและประเมินอย่างใกล้ชิด เกี่ยวกับผลงานทางทหารในการสู้รบ
บทสรุปที่ชัดเจนของเหตุปะทะตามแนวชายแดนคงต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจน ณ เวลานี้ก็คือ ไทย ซึ่งพันธมิตรนอกนาโต้ที่สำคัญของสหรัฐฯและเป็นหนึ่งในผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุดในอาวุธล้ำสมัยของอเมริกาและตะวันตก ทำผลงานได้เหนือกว่ากัมพูชาเป็นอย่างมาก ในขณะที่กัมพูชาพึ่งพาแหล่งอาวุธหลักๆมาจากจีน รายงานของเดอะเนชันแนลอินเทอเรสต์ระบุ
หนึ่งในระบบอาวุธที่ช่วยให้กองทัพไทยมีความเหนือกว่าได้แก่เครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์ JAS 39 Gripen ของบริษัท Saab ที่พัฒนาในสวีเดน การใช้งานเครื่องบินกริพเพนไม่ได้แค่ตอกย้ำถึงพัฒนาการด้านแสนยานุภาพทางอากาศของไทย แต่มันถึงแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของเครื่องบินรุ่นนี้ ในสงครามชายแดนที่มีขอบเขตจำกัดและไม่ทัดเทียมกัน
รายงานระบุว่าเพื่อรับรู้ผลงานของกริพเพน มันจำเป็นต้องเข้าใจบริบทความขัดแย้งและยุทธศาสตร์ทางทหารโดยรวมของไทย ข้อพิพาทนี้มีต้นตอจากคำกล่าวอ้างสิทธิ์ในอดีตเหนือพื้นที่ตามแนวชายแดน ซึ่งบางส่วนในนั้น รวมถึงบริเวณประสาทพระวิหาร ก็เคยเป็นจุดสู้รบกันเล็กน้อยไก่อนหน้านี้ตั้งแต่ช่วงปี 2008 ถึง 2011
เดอะเนชันแนลอินเทอเรสต์ บอกว่าสถานการณ์ที่ลุกลามในปี 2025 เริ่มต้นจากการที่กัมพูชายิงห่าจรวดและปืนใหญ่เข้าใส่ดินแดนไทย ดังนั้นมันจึงมีความจำเป็นต้องโจมตีแก้แค้นจากกองทัพและกองทัพอากาศของไทย ซึ่งมีกองทัพทันสมัยกว่าเมื่อเทียบกับกองกำลังกัมพูชา ไทยใช้ความเหนือกว่าบนท้องฟ้าโจมตีป้อมสั่งการ แหล่งที่ตั้งของปืนใหญ่และแหล่งรวมกลุ่มกำลังพล
ความเรียบง่ายและการออกแบบอย่างตรงไปตรงมาของกริพเพน ส่งผลดีต่อการทำงานของมันในสงครามเมื่อเร็วๆนี้ เดอะเนชันแนลอินเทอเรสต์ระบุ ยกตัวอย่างเช่น มันมีขนาดการสะท้อนคลื่นเรดาร์เล็กกว่าเมื่อเทียบกับเอฟ-19 ทำให้เป็นเรื่องยากที่เรดาร์กัมพูชาจะตรวจจับ นอกจากนี้แล้วต้นทุนปฏิบัติการของ JAS 39 ยังถูกอย่างมากเมื่อเทียบกับเครื่องบินอื่นๆที่ผลิตโดยตะวันตก ทำให้มันดูแล้วเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกับประเทศต่างๆที่มีงบประมาณทางทหารอย่างจำกัด ขณะเดียวกันกริพเพนยังสามารถปฏิบัติการจากรันเวย์สั้นๆ เปิดทางสำหรับใช้งานได้อย่างรวดเร็วโดยไทย ที่ภูมิประเทศคล้ายป่าและเต็มไปด้วยภูเขา
สืบเนื่องจากความขัดแย้งจบลงในเวลาอันสั้น เดอะเนชันแนลอินเทอเรสต์จึงบอกว่ากริพเพนยังไม่ได้ผ่านการทดสอบอย่างเต็มรูปแบบในบทบาทการสู้รบ แต่ศักยภาพการโจมตีใส่เป้าหมายในภาคพื้นของมันแสดงให้เห็นแล้วว่ามีความน่าเชื่อ และตามหลังข้อตกลงหยุดยิง รัฐบาลไทยได้อนุมัติจัดซื้อฝูงบินกริพเพนอีก 4 ลำ จำนวนเงินราวๆ 600 ล้านดอลลาร์ ส่วนหนึ่งในแผนการใหญ่ในการจัดซื้อเครื่องบินขับไล่ 12 ลำ และอัพเกรดกองบินนี้ด้วยขีปนาวุธพิสัยไกล Meteor และเพิ่มเติมด้วยครื่องบินตรวจการณ์และแจ้งเตือนทางอากาศ Saab 340 AWACS
รายงานของเดอะเนชันแนลอินเทอเรสต์ ระบุว่าการตัดสินใจของรัฐบาลไทย มีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงกองทัพอากาศให้มีความทันสมัยและค่อยๆปลดระวางฝูงบิน F-16 ที่มีอายุเก่าเก็บภายในปี 2035 ผลงานความสำเร็จของกริพเพนในความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ช่วยเพิ่มความสนใจจากบรรดาว่าที่ผู้ซื้อต่างชาติรายอื่นๆเป็นอย่างมากในตลาดอาวุธโลก อันเป็นแนวโน้มเดียวกับที่เกิดขึ้นกับระบบอาวุธที่ผลิตโดยจีน ตามหลังความสำเร็จในสงครามอินเดีย-ปากีสถาน เมื่อช่วงกลางปี
เดอะเนชันแนลอินเทอเรสต์ ระบุแน่นอนว่าสงครามนี้ยังไม่จบลงอย่างแท้จริง ความตึงเครียดยังคงคุกรุ่นและเวลานี้จำเป็นต้องมีพวกนักสังเกตการณ์จากอาเซียนคอยเฝ้าระวังตามแนวชายแดน แต่การเปิดตัวของกริพเพนตอกย้ำถึงวิวัฒนาการบทบาทของแสนยานุภาพทางอากาศในข้อพิพาทด้านเขตแดนสมัยใหม่ ซึ่งเป็นไปได้ว่ามันจะก่ออิทธิพลต่อแนวโน้มการจัดซื้ออาวุธและยุทธศาสตร์การป้องปรามทั่วภูมิภาคอาเซียน
ทางเดอะเนชันแนลอินเทอเรสต์ บอกว่าไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ผู้ชนะที่แท้จริงในความขัดแย้งเมื่อเร็วๆนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นบริษัท Saab ของสวีเดนและกริพเพน JAS 39 ซึ่งคาดหมายได้เลยว่าจะมีกระแสความสนใจไหลบ่ามาจากบรรดากองทัพชาติกำลังพัฒนาทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในละตินอเมริกา ตามหลังผลงานที่ยอดเยี่ยมในการสู้รบ
(ที่มา:เดอะเนชันแนลอินเทอเรสต์)