ทรัมป์ประกาศอัตราภาษีศุลกากรใหม่สำหรับทองแดงนำเข้าเป็น 50% มีผลบังคับใช้วันที่ 1 เดือนหน้า ซึ่งเป็นกำหนดเวลาและอัตราเดียวกับที่จะเรียกเก็บจากสินค้าบราซิล นอกจากนี้ผู้นำสหรัฐฯ ยังสั่งสอบสวนพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรมของแดนแซมบ้า ขณะที่ทางด้านจีนวิจารณ์วอชิงตันว่า ภาษีศุลกากรตามอำเภอใจไม่เป็นประโยชน์ไม่ว่ากับฝ่ายใด
ในวันพุธ (9 ก.ค.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์บนสื่อสังคม ทรูธโซเชียล ของเขาว่า จะเรียกเก็บภาษีศุลกากรทองแดง 50% มีผลนับจากวันที่ 1 สิงหาคมเป็นต้นไป หลังจากได้รับรายงานการประเมินความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งหมายถึงการสอบสวนทางการค้าในแง่มุมความมั่นคงแห่งชาติตามมาตรา 232
มาตรา 232 เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบัญญัติการขยายการค้าปี 1962 (Trade Expansion Act of 1962) ครอบคลุมการป้องกันประเทศและความจําเป็น ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเหล็กและอะลูมิเนียมถือว่ามีความสำคัญต่อการสร้างความมั่นคงของสหรัฐฯ
นอกจากนั้น ในวันเดียวกันนี้ ทรัมป์ยังส่งจดหมายถึงประเทศคู่ค้าขนาดเล็ก 7 ประเทศที่รวมกันแล้วส่งออกสินค้าไปยังอเมริกาในปีที่ผ่านมาเพียง 15,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อแจ้งภาษีศุลกากรอัตราใหม่ซึ่งจะถูกรัฐบาลของเขาเรียกเก็บ ได้แก่ 20% สำหรับฟิลิปปินส์, 30% สำหรับศรีลังกา แอลจีเรีย อิรัก และลิเบีย และ 25% สำหรับบรูไน มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. เช่นเดียวกับ 14 ประเทศแรกที่ได้รับจดหมายไปก่อนแล้วเมื่อต้นสัปดาห์นี้
ต่อมาในวันพฤหัสฯ (10) เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวระหว่างแถลงข่าวตามปกติว่า จีนคัดค้านการใช้แนวคิดความมั่นคงแห่งชาติเกินขอบเขตมาโดยตลอด และเชื่อมั่นเสมอมาว่า ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้าและภาษี อีกทั้งยังเห็นว่า การกำหนดภาษีศุลกากรตามอำเภอใจไม่เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย
เปิดศึกบราซิล
ในวันพุธ ทรัมป์ยังส่งจดหมายถึงประธานาธิบดีลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ของบราซิล เพื่อแจ้งว่า อเมริกาจะขึ้นภาษีสินค้าบราซิลจากเดิม 10% เป็น 50% นับจากวันที่ 1 สิงหาคมเช่นกัน
ในจดหมายดังกล่าว ผู้นำสหรัฐฯ ยังระบายความไม่พอใจเกี่ยวกับสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็น “การล่าแม่มด” โดยหมายถึงการดำเนินคดีกับฌาอีร์ โบลโซนาโร อดีตประธานาธิบดีแนวขวาจัดของบราซิล ในข้อหาวางแผนอยู่ในอำนาจต่อหลังแพ้การเลือกตั้งปี 2022 ต่อลูลา ทั้งนี้ ที่ผ่านมาทรัมป์แสดงการยกย่องและสนับสนุนโบลโซนาโร เรื่อยมา
ทรัมป์ยังวิจารณ์ว่า บราซิลโจมตีการเลือกตั้งอย่างเสรี ตลอดจนถึงเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของคนอเมริกัน อีกทั้งเซ็นเซอร์แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของอเมริกาอย่างลับๆ และผิดกฎหมาย
ไม่เพียงเท่านั้น เขายังสั่งให้สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เปิดสอบสวนแนวทางปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมภายใต้มาตรา 301 ของกฎหมายการค้าสหรัฐฯ ซึ่งเปิดทางให้อเมริกาเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่ม โดยทรัมป์อ้างว่า บราซิลมีพฤติการณ์โจมตีกิจกรรมการค้าดิจิทัลของบริษัทอเมริกันไม่หยุดหย่อน
ก่อนที่เรื่องราวเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่นาน บราซิลได้เรียกเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ เข้าพบเพื่ออธิบายคำแถลงของทางสถานเอกอัครราชทูตที่ระบุว่า โบลโซนาโรเป็นเหยื่อ “การฟ้องร้องทางการเมือง”
ทางด้านลูลาตอบโต้บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า การขึ้นภาษีศุลกากรฝ่ายเดียวจะได้รับการตอบโต้ภายใต้กฎหมายเศรษฐกิจต่างตอบแทนของบราซิล และสำทับว่า ข้อกล่าวหาว่า การค้าระหว่างสองประเทศเวลานี้ไม่เป็นธรรมสำหรับอเมริกานั้นเป็นการพูดปด โดยย้ำว่า อเมริกาเป็นฝ่ายเกินดุลการค้าบราซิล
ลูลายังตอบโต้ข้อกล่าวหาล่าแม่มดของทรัมป์ว่า การดำเนินคดีโบลโซนาโรเป็นอำนาจของศาล และการข่มขู่ไม่สามารถบ่อนทำลายความเป็นอิสระของสถาบันยุติธรรม
ผู้นำบราซิลยังปกป้องคำวินิจฉัยของศาลสูงสุดเกี่ยวกับโซเชียลมีเดียว่า เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นต้องไม่เกี่ยวพันกับพฤติกรรมที่ก้าวร้าวและรุนแรง
ก่อนหน้านี้ตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ (7 ก.ค.) ทรัมป์ก็ได้เรียกร้องให้หน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลบราซิล “วางมือจากโบลโซนาโร” โดยอ้างว่า อดีตผู้นำผู้นี้ไม่ได้ทำผิดอะไร ซึ่งทางลูลาได้ตอบโต้การแทรกแซงของทรัมป์โดยยืนยันว่า “ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย”
วันเดียวกันนั้น ลูลายังให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวระหว่างเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดกลุ่มบริกส์ว่า “โลกไม่ต้องการจักรพรรดิ” หลังจากทรัมป์ขู่ขึ้นภาษี 10% สำหรับประเทศที่สนับสนุนนโยบาย “ต่อต้านอเมริกา” ของบริกส์
แบรด เซ็ตเซอร์ อดีตเจ้าหน้าที่การค้าสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันทำงานให้กับสภาวิเทศสัมพันธ์ หน่วยงานคลังสมองชื่อดังด้านการต่างประเทศในสหรัฐฯ โดยชี้ว่า การกระทำของทรัมป์อาจนำไปสู่สงครามการค้าที่สร้างความเสียหายให้กับทั้งอเมริกาและบราซิลอย่างง่ายดาย และสะท้อนอันตรายของการที่มาตรการภาษีศุลกากรตกอยู่ภายใต้การควบคุมตามอำเภอใจของบุคคลเพียงคนเดียว
เซ็ตเซอร์เสริมว่า การตัดสินใจของทรัมป์อิงกับข้อเท็จจริงที่ว่า ลูลาเอาชนะโบลโซนาโรซึ่งเป็นเพื่อนของทรัมป์ ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
ทั้งนี้ บราซิลเป็นประเทศคู่ค้าใหญ่อันดับ 2 ของอเมริกา รองจากจีน และจากข้อมูลของสำนักงานสำมะโนประชากรสหรัฐฯ สองประเทศมีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 92,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2024
บราซิลยังเป็นผู้ส่งออกเหล็กกล้ารายใหญ่อันดับ 2 ของอเมริกา รองจากแคนาดา โดยปีที่แล้วส่งเหล็กกล้าไปยังสหรัฐฯ 4 ล้านตัน
ขณะที่อเมริกาส่งออกเครื่องบินพาณิชย์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและน้ำมันดิบ ถ่านหิน และเซมิคอนดักเตอร์ไปยังบราซิล
การขึ้นภาษีบราซิลยังถูกคาดหมายว่า จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อราคาอาหารในอเมริกา เนื่องจาก 1 ใน 3 ของกาแฟที่บริโภคในสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นตลาดกาแฟใหญ่ที่สุดของโลกนั้น มาจากบราซิลซึ่งเป็นผู้ปลูกกาแฟอันดับ 1 ของโลก
นอกจากนี้ น้ำส้มกว่าครึ่งในอเมริกายังส่งมาจากบราซิล ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดน้ำส้มโลกถึง 80% แดนแซมบ้ายังส่งออกน้ำตาล เนื้อวัว และเอทานอล รวมถึงสินค้าอีกหลายรายการไปยังอเมริกา
(ที่มา: รอยเตอร์/เอเอฟพี)