ทรัมป์คุยบรรลุข้อตกลงการค้ากับเวียดนามแล้ว โดยอเมริกาจะเก็บภาษีสินค้าเวียดนามแค่ 20% จากเดิมที่กำหนดไว้ที่ 46% ส่วนสินค้าอเมริกันที่เข้าไปขายในเวียดนามจะไม่ต้องเสียภาษีแต่อย่างใด ด้านจีนเตือนข้อตกลงการค้าไม่ควรจ้องทำลายผลประโยชน์ของชาติอื่น
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศผ่านแพลตฟอร์มสื่อสังคม ทรูธ โซเชียล ของเขาเมื่อวันพุธ (2 ก.ค.) หลังจากหารือกับโต เลิม เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามว่า สินค้าเวียดนามจะถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากร 20% และอัตรา 40% สำหรับสินค้าจากประเทศอื่นที่ส่งออกผ่านเวียดนาม ขณะที่ฮานอยจะไม่เรียกเก็บภาษีศุลกากรจากสินค้าของอเมริกา
การประกาศของทรัมป์เกิดขึ้นก่อนถึงเส้นตายวันที่ 9 ก.ค. ที่อเมริกาจะเริ่มเก็บภาษีศุลกากรประเทศต่างๆ ในอัตราที่ประกาศไว้ในเดือนเม.ย. ซึ่งสำหรับสินค้าเวียดนามนั้นต้องเสียภาษี 46%
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนว่า สินค้าเวียดนามที่จะเสียภาษีในอัตรา 20% ตามข้อตกลงการค้าใหม่นั้นครอบคลุมสินค้าประเภทใดบ้าง หรือสินค้ารายการใดที่ต้องเสียภาษีโดยรวมเพิ่มหรือลดลง
ประเด็นที่ยังต้องหารือกันต่อไป ยังรวมถึงการดำเนินการและบังคับใช้ข้อกำหนดเกี่ยวกับสินค้าถ่ายลำ ซึ่งพุ่งเป้าไปที่สินค้าผลิตในจีนเป็นหลักแต่ติดป้าย “ผลิตในเวียดนาม”
ทั้งนี้ ปีเตอร์ นาวาโร ที่ปรึกษาอาวุโสด้านการค้าของทรัมป์ วิพากษ์วิจารณ์เวียดนามว่าเป็น “อาณานิคมของจีน” โดยกล่าวหาว่าสินค้าราว 1 ใน 3 แท้จริงเป็นสินค้าจีนแต่มาเปลี่ยนป้ายเป็น “ผลิตในเวียดนาม”
ทางด้านรัฐบาลเวียดนามไม่ได้ยืนยันอัตราภาษีที่เฉพาะเจาะจง และระบุในคำแถลงเกี่ยวกับข้อตกลงกับทรัมป์ว่าเป็น ข้อตกลงกรอบการค้า ซึ่งเวียดนามจะอนุญาตให้สินค้าอเมริกันที่รวมถึงรถยนต์ขนาดใหญ่ ได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าถึงตลาดเวียดนาม
เห็นกันว่าข้อตกลงกับเวียดนามนี้จะเป็นพลังทางการเมืองที่สำคัญสำหรับทรัมป์ ที่กำลังเร่งปิดดีลกับพวกประเทศคู่ค้าใหญ่ที่สุดก่อนเส้นตายกลางสัปดาห์หน้า
เวลานี้อเมริกาเป็นตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ขณะเดียวกันสองประเทศยังกำลังขยายความสัมพันธ์ทั้งด้านเศรษฐกิจ การทูต และการทหาร โดยที่วอชิงตันมีจุดมุ่งหมายดึงฮานอยให้ถอยห่างจากจีน ซึ่งเป็นคู่แข่งทางยุทธศาสตร์สำคัญที่สุดของสหรัฐฯ ขณะที่เวียดนามพยายามรักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับทั้งสองมหาอำนาจ
รอยเตอร์รายงานว่า เลิมขอให้ทรัมป์ยอมรับเวียดนามในฐานะประเทศเศรษฐกิจระบบตลาด และยกเลิกข้อจำกัดการส่งออกสินค้าไฮเทคมายังเวียดนาม แต่สหรัฐฯยังไม่มีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้
นับจากทรัมป์สั่งรีดภาษีหลายแสนล้านดอลลาร์จากสินค้าจีนระหว่างดำรงตำแหน่งสมัยแรกในช่วงปี 2017-2021 การค้าระหว่างอเมริกากับเวียดนามได้เติบโตขึ้นอย่างมาก ส่วนใหญ่อยู่ในรูปสินค้าส่งออกจากเวียดนามไปยังอเมริกา เนื่องจากผู้นำเข้าพยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้าขณะที่สินค้าจากจีนต้องเสียภาษีสูงมาก
นับจากปี 2018 การส่งออกของเวียดนามขยายตัวเกือบ 3 เท่าตัวจากไม่ถึง 50,000 ล้านดอลลาร์เป็น 137,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2024 ขณะที่อเมริกาส่งออกไปยังเวียดนามเพิ่มขึ้นราว 30% เป็น 13,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว จากไม่ถึง 10,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2018
ตั้งแต่ที่ทรัมป์ประกาศชะลอการเก็บภาษีศุลกากรอัตรามหาโหดจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกตามที่เขาประกาศเมื่อวันที่ 2 เม.ย. เป็นเวลานาน 90 วัน มีประเทศนับสิบเร่งรีบขอเจรจากับคณะบริหารทรัมป์เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกขึ้นภาษีสูงลิบ
กระนั้น ก่อนหน้านี้ อเมริกาสามารถบรรลุข้อตกลงได้กับ 2 ประเทศเท่านั้น โดยอังกฤษยอมรับการเสียภาษีศุลกากร 10% สำหรับสินค้าที่ส่งไปอเมริกาที่รวมถึงรถยนต์ แลกกับการที่อเมริกาสามารถเข้าถึงเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินและเนื้อของอังกฤษเป็นกรณีพิเศษ ทว่า ข้อตกลงนี้เป็นเพียงกรอบโครงเช่นเดียวกับข้อตกลงล่าสุดกับเวียดนาม ยังไม่ใช่ข้อตกลงการค้าขั้นสุดท้าย
นอกจากนั้นอเมริกายังตกลงสงบศึกภาษีศุลกากรกับจีนชั่วคราว และจีนยอมให้อเมริกาเข้าถึงแร่ธาตุหายากบางชนิด โดยที่ประเด็นขัดแย้งส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
ข้อตกลงที่ทรัมป์ประกาศล่าสุดถือเป็นข้อตกลงแรกกับประเทศเอเชีย นักวิเคราะห์ยังมองว่า นี่อาจเป็นต้นแบบที่วอชิงตันจะใช้กับประเทศอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ในวันพฤหัสฯ (3 ก.ค.) เหอ หย่งเฉียน โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีน แถลงว่า จีนยินดีที่ทุกฝ่ายแก้ไขข้อขัดแย้งทางการค้าและเศรษฐกิจกับอเมริกาผ่านการหารือที่เท่าเทียม แต่คัดค้านการบรรลุข้อตกลงที่ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของจีน
(ที่มา: รอยเตอร์/เอเอฟพี)