วอชิงตันกำลังบีบให้เวียดนามลดการใช้เทคโนโลยีจีนในอุปกรณ์ที่ประกอบภายในประเทศและส่งออกไปยังอเมริกา โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้สหรัฐฯสามารถลดการพึ่งพิงชิ้นส่วนจากแดนมังกร แหล่งข่าวที่ทราบเรื่องดี 3 รายเปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์
เวียดนามเป็นฐานการผลิตขนาดใหญ่ของบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง อาทิ แอปเปิล และซัมซุง ซึ่งมักพึ่งพิงชิ้นส่วนที่ผลิตในจีน ขณะที่ เมตา และ กูเกิล ก็มีผู้รับจ้างผลิตในเวียดนาม ซึ่งผลิตสินค้าบางอย่างให้ เช่นอุปกรณ์สวมศีรษะที่ใช้เทคโนโลยีเสมือนและสมาร์ทโฟน
ระยะไม่กี่สัปดาห์นี้กระทรวงพาณิชย์เวียดนามได้จัดประชุมนักธุรกิจท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมให้ใช้ซัปพลายชิ้นส่วนภายในประเทศ ซึ่งหลายบริษัทแสดงความกระตือรือร้นที่จะร่วมมือ แต่ออกตัวว่า ต้องการเวลาและเทคโนโลยีในการดำเนินการ บุคคลผู้หนึ่งที่ทราบเรื่องการประชุมหารือเช่นนี้เผย
เวลานี้ คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของอเมริกา ข่มขู่เวียดนามว่าจะขึ้นอัตราภาษีศุลกากรสูงถึง 46% ซึ่งจะเป็นอุปสรรคอย่างมากสำหรับสินค้าที่ผลิตในเวียดนามในการเข้าถึงอเมริกาที่เป็นตลาดหลักของพวกเขา และสร้างความปั่นป่วนให้กับโมเดลการเติบโตที่มุ่งเน้นการส่งออกของเวียดนามที่มีพรรคคอมมิวนิสต์เป็นรัฐบาลปกครองประเทศ
อเมริกาเพิ่งเรียกร้องให้เวียดนามลดการพึ่งพิงเทคโนโลยีจีน โดยระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานเพื่อให้อเมริกาสามารถลดการพึ่งพิงชิ้นส่วนจากจีน บุคคลหนึ่งซึ่งทราบเรื่องการหารือกันนี้บอก
ขณะที่แหล่งข่าวคนที่สองขานรับว่า เป้าหมายสูงสุดของการกดดันนี้คือ เร่งความเร็วที่อเมริกาจะตัดขาดจากจากเทคโนโลยีระดับสูงของจีน ควบคู่กับเพิ่มศักยภาพทางอุตสาหกรรมของเวียดนาม พร้อมยกตัวอย่างว่า พวกอุปกรณ์เกี่ยวกับเทคโนโลยีเสมือน คือผลิตภัณฑ์ที่ประกอบในเวียดนามซึ่งต้องพึ่งพิงเทคโนโลยีจีนมากเกินไป
แหล่งข่าวทุกรายต่างขอไม่เปิดเผยชื่อเนื่องจากรายละเอียดการหารือเป็นข้อมูลลับ ขณะที่รอยเตอร์ก็ยังไม่สามารถสืบเสาะให้ชัดเจนได้ว่า อเมริกามีการเสนอเป้าหมายเป็นตัวเลข เช่น เพดานสูงสุดของชิ้นส่วนจีนในสินค้าที่ติดป้าย “ผลิตในเวียดนาม” หรือจะกำหนดอัตราภาษีศุลกากรแบบอิงกับสัดส่วนชิ้นส่วนจีนอย่างไรหรือไม่
และถึงแม้กำหนดเส้นตายในการบรรลุข้อตกลงการค้ากับอเมริกาในวันที่ 8 ก.ค. ก่อนที่ระยะเวลาซึ่งสหรัฐฯผ่อนผันยังไม่ใช้ภาษีศุลกากรอัตราใหม่ จะเขยิบใกล้เข้ามาทุกที ทว่ากำหนดเวลาและขนาดขอบเขตของการทำความตกลงในเรื่องนี้ก็ยังคงไม่มีความแน่นอน
แหล่งข่าวทุกคนย้ำว่า แม้อเมริกากำหนดข้อเรียกร้องกว้างๆ ให้เวียดนามลดการพึ่งพิงจีน แต่เป้าหมายสำคัญอันดับแรกคือ ประเด็นสัดส่วนเทคโนโลยีระดับสูงของจีนในสินค้าเมดอินเวียดนาม
จากข้อมูลศุลกากรของเวียดนาม ปีที่แล้วจีนส่งออกสินค้าไฮเทค เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ไปยังเวียดนามคิดเป็นมูลค่าราว 44,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 30% ของมูลค่าการส่งออกไปยังเวียดนามทั้งหมด ส่วนเวียดนามส่งออกสินค้าเทคโนโลยีไปยังอเมริกา 33,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 28% ของยอดส่งออกไปยังสหรัฐฯทั้งหมด โดยทั้งสองส่วนนี้ต่างเพิ่มสูงขึ้นอีกในปีนี้
ข่าวระบุด้วยว่า อเมริกายังต้องการให้เวียดนามปราบปรามการจัดส่งสินค้าจีนไปยังสหรัฐฯ ที่ใช้วิธีติดป้าย “ผลิตในเวียดนาม” เพื่อให้เสียภาษีต่ำลง ซึ่งเวียดนามเองระบุว่านี่เป็นปัญหาที่ฝ่ายตนก็กำลังพยายามจัดการแก้ไขเหมือนกัน
กระทรวงพาณิชย์เวียดนามแถลงในวันอาทิตย์ (15 มิ.ย.) ที่ผ่านมาว่า การเจรจารอบ 3 กับสหรัฐฯเมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่กรุงวอชิงตันมีความคืบหน้า ทว่า ยังไม่สามารถตกลงปัญหาสำคัญๆ กันได้
เจ้าหน้าที่เวียดนามเผยว่า โต เลิม เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม มีแผนพบปะหารือกับทรัมป์ที่อเมริกา ซึ่งอาจเป็นช่วงปลายเดือนนี้
ในอีกด้านหนึ่ง บริษัทท้องถิ่นหลายแห่งที่เข้าร่วมการประชุมที่กระทรวงพาณิชย์เวียดนามจัดขึ้นก่อนหน้านี้ ต่างแสดงเจตนากันโดยทั่วไปว่ามีความยินดีที่จะปรับตัว แต่ก็เตือนว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันทันทีอาจทำลายธุรกิจ แหล่งข่าวรายหนึ่งบอก
พวกผู้บริหารในอุตสาหกรรมหลายคนให้ความว่า เวียดนามล่าช้าในการพัฒนาระบบนิเวศทางอุตสาหกรรมร่วมกับทางซัปพลายเออร์ท้องถิ่น และยังต้องใช้เวลาอีกนานในการไล่ตามห่วงโซ่อุปทานขั้นสูงและต้นทุนที่ถูกกว่าของจีน
คาร์โล เชียนโดเน ผู้เชี่ยวชาญด้านห่วงโซ่อุปทานในเวียดนาม ระบุว่า ห่วงโซ่อุปทานของเวียดนามอาจต้องใช้เวลา 15-20 ปีจึงจะตามทันระบบของจีนทั้งในแง่ขนาดและความซับซ้อน แต่ก็ถือว่า มีความคืบหน้ามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมหลักเช่น สิ่งทอและอิเล็กทรอนิกส์
ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติอย่างปัจจุบันทันด่วน อาจกระทบต่อความสัมพันธ์อันละเอียดอ่อนระหว่างเวียดนามกับจีน –ซึ่งเป็นทั้งนักลงทุนสำคัญและต้นตอความกังวลของฮานอย
(ที่มา: รอยเตอร์)