อเมริกาประกาศในวันจันทร์ (21 เม.ย.) เล็งรีดภาษีศุลกากรอัตรามหาโหด จากแผงโซลาร์เซลล์ผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พุ่งเป้าเล่นงานบริษัทในเครือของจีนที่เข้ามาตั้งโรงงานผลิตในภูมิภาคนี้ โดยกัมพูชาโดนหนักสุด 3,521% ส่วนไทยก็เจอเข้าไป 375%
การเพิ่มภาษีศุลกากรซึ่งมุ่งเล่นงานพวกบริษัทจาก 4 ชาติอาเซียน ได้แก่ กัมพูชา, ไทย, มาเลเซีย, และเวียดนาม คราวนี้ ยังจำเป็นต้องผ่านขั้นตอนได้รับการอนุมัติรับรองจากที่ประชุมคณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ที่กำหนดจะจัดขึ้นในเดือนมิถุนายนเสียก่อน จึงจะมีผลบังคับ
มติการตัดสินใจของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาในวันจันทร์ (21) ครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากพวกผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ของอเมริกาและชาติอื่นๆ ยื่นคำร้องให้วอชิงตันเปิดสอบสวนเพื่อต่อต้านการทุ่มตลาดและตอบโต้การอุดหนุนเมื่อราว 1 ปีมาแล้ว
บริษัทที่ร้องเรียนเหล่านี้อ้างว่า จาก “การปฏิบัติทางการค้าอย่างไม่เป็นธรรม” ได้ส่งผลทำให้เกิดการบิดเบือนตลาดแผงโซลาร์เซลล์ภายในประเทศของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำของพวกบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในจีน แต่ดำเนินงานจากพวกประเทศอาเซียนทั้ง 4 แห่งดังกล่าว
ขณะที่มติการตัดสินใจในวันจันทร์ (21) เป็นผลจากการสอบสวนที่ดำเนินมาอย่างยาวนานราว 1 ปี แต่ก็เกิดขึ้นภายหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เปิดฉากทำสงครามการค้าด้วยการขึ้นภาษีศุลกากรเอากับแทบทุกประเทศทั่วโลก
ภาษีศุลกากรของทรัมป์ ซึ่งในตอนแรกทำเนียบขาวประกาศรีดภาษีอัตราสูงลิ่ว ก่อนจะระงับเอาไว้ก่อนเป็นส่วนใหญ่ โดยระบุว่าเพื่อเปิดทางให้มีการเจรจาต่อรองกันในระดับทวิภาคี คณะบริหารทรัมป์อธิบายว่ามีจุดมุ่งหมายเพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ และส่งเสริมให้การผลิตทางอุตสาหกรรมหวนกลับคืนมาตั้งฐานในอเมริกา
อย่างไรก็ตาม คำแถลงของกระทรวงพาณิชย์ย้ำว่า อัตราภาษีจัดเก็บจากแผงโซลาเซลส์ที่เสนอกันขึ้นมาใหม่คราวนี้ มีจุดมุ่งหมายอย่างพิเศษเจาะจงเพื่อเล่นงาน “การอุดหนุนในระดับข้ามชาติ”
“ในการสอบสวนเพื่อต่อต้านการทุ่มตลาดและตอบโต้การอุดหนุน โดยเกี่ยวข้องกับ กัมพูชา, มาเลเซีย, ไทย, และเวียดนาม นี้ กระทรวงพาณิชย์พบว่าบริษัทหลายแห่งในแต่ละประเทศเหล่านี้ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลของประเทศจีน” คำแถลงกระทรวงพาณิชย์อเมริกันระบุ
คำแถลงยังสำทับว่า ผลการสอบสวน 4 ประเทศเหล่านี้ อยู่ในกลุ่มการสอบสวนเพื่อต่อต้านการทุ่มตลาดและตอบโต้การอุดหนุนกลุ่มแรกๆ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์พบข้อยืนยันว่า มีบริษัทหลายแห่งได้รับ “การอุดหนุนในระดับข้ามชาติ”
สำหรับผู้ที่ร้องเรียนให้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯเปิดการสอบสวนคราวนี้ได้แก่ ฮันวา เซลล์ของเกาหลีใต้ เฟิร์สต์ โซลาร์ และคอนวัลต์ อิเนอร์จีของอเมริกา ตลอดจนรายอื่นๆ อีกหลายราย
ขั้นตอนต่อจากนี้ไป คือ คณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯจะเป็นผู้พิจารณาในขั้นสุดท้ายว่าจะไฟเขียวให้จัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มตามมติของกระทรวงพาณิชย์อย่างไรหรือไม่
ในหมู่พวกบริษัทที่ตกเป็นเป้าหมายการสอบสวนคราวนี้ ได้แก่บริษัทจีน 2 แห่ง คือ จินโกะ โซลาร์ และทรินา โซลาร์
ตามมติของกระทรวงพาณิชย์ ผลิตภัณฑ์จากกัมพูชาจะถูกเก็บภาษีสูงสุด 3,521% โดยเห็นกันว่าเหตุผลสำคัญเนื่องมาจากกัมพูชาตัดสินใจไม่ให้ความร่วมมือกับการสอบสวนคราวนี้ของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯนั่นเอง
ขณะที่แผงโซลาร์เซลล์ของ จินโกะ โซลาร์ที่ส่งออกผ่านจากมาเลเซีย ถูกเรียกเก็บภาษีอัตรา 40% ส่วนที่ส่งออกผ่านจากเวียดนาม ถูกเก็บประมาณ 245%
ผลิตภัณฑ์ของทรินา โซลาร์ที่ส่งออกจากไทยจะถูกเก็บมากกว่า 375% และที่ส่งออกจากเวียดนามจะถูกเก็บในอัตรากว่า 200%
หากมีการบังคับใช้กันจริงๆ อัตราภาษีศุลกากรเหล่านี้ยังจะต้องบวกด้วยภาษีศุลกากรพื้นฐาน 10% ที่ทรัมป์ประกาศจัดเก็บจากสินค้านำเข้าจากประเทศคู่ค้าแทบทั้งหมดเมื่อต้นเดือนนี้
จากข้อมูลตัวเลขอย่างเป็นทางการ ในปี 2023 อเมริกานำเข้าแผงโซลาร์เซลล์จากทั้ง 4 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เหล่านี้ รวมเป็นมูลค่า 11,900 ล้านดอลลาร์
(ที่มา: เอเอฟพี,เอเจนซีส์)