รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ มีรายงานว่า "กำลังมุ่งหน้าสู่" การอนุญาตให้ทหารสัญญาจ้างของอเมริกา เข้าปฏิบัติหน้าที่บำรุงรักษาและซ่อมแซมระบบอาวุธต่างๆ ในยูเครน
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานอ้างแหล่งข่าวใกล้ชิดกับประเด็นนี้เมื่อวันอังคาร (25 มิ.ย.) ว่าการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายดังกล่าวยังคงอยู่ระหว่างทบทวนโดยพวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และยังไม่ได้รับอนุมัติขั้นสุดท้ายจากไบเดน ทั้งนี้ การไฟเขียวให้ทหารสัญญาจ้างเข้าประจำการในโซนความขัดแย้ง ถูกมองในฐานะทางเลือกหนึ่งที่มีความเป็นไปได้สำหรับเปิดทางให้กองทัพยูเครนอยู่ในสถานะที่เหนือกว่ารัสเซีย
แหล่งข่าวรายหนึ่งเปิดเผยกับซีเอ็นเอ็นว่า ไบเดน ยังคงยืนกรานปฏิเสธส่งกองกำลังสหรัฐฯ เข้าไปยังยูเครน แต่ประธานาธิบดีรายนี้อนุมัติการมีส่วนร่วมของอเมริกาในความขัดแย้งดังกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในนั้นรวมถึงมอบรถถังและขีปนาวุธพิสัยไกลของสหรัฐฯ แก่เคียฟ แม้เคยเน้นย้ำว่าจะไม่ใช้แนวทางดังกล่าว
ดังนั้น ความเป็นไปได้ในการยกเลิกคำสั่งแบนทหารสัญญาจ้างสหรัฐฯ เข้าปฏิบัติการภายในยูเครน อาจเป็นอีกก้าวย่างหนึ่งที่มุ่งหน้าสู่การเผชิญหน้าโดยตรงกับรัสเซียมากขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าหากได้รับความเห็นชอบ มีรายงานว่าการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายล่าสุดนี้จะมีผลบังคับใช้ในช่วงปลายปี เพื่อเปิดทางให้เพนตากอนลงนามในสัญญาว่าจ้างบริษัทสหรัฐฯ หลายสิบแห่งที่จะประจำการกำลังพลในยูเครน ทั้งนี้ การประจำการดังกล่าวจะช่วยทำให้การซ่อมบำรุงระบบอาวุธของอเมริกาที่ใช้งานโดยกองกำลังรัฐบาลเคียฟดำเนินการได้อย่างรวดเร็วขึ้น
นับตั้งแต่ความขัดแย้งเริ่มต้นขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ไบเดน พยายามกันกำลังพลอเมริกาออกห่างจากแนวหน้าการสู้รบ ตามรายงานของซีเอ็นเอ็น โดยระบุว่า "ทำเนียบขาวมีความตั้งใจจำกัดอันตรายที่จะเกิดกับชาวอเมริกา โดยเฉพาะจากรัสเซีย และจำกัดการมีส่วนร่วมของกองทัพสหรัฐฯ ในการสู้รบในยูเครน"
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ของมันคือ อาวุธของสหรัฐฯ ที่ได้รับความเสียหายในการสู้รบ จำเป็นต้องถูกเคลื่อนย้ายไปยังประเทศอื่นๆ ในนั้นรวมถึงโปแลนด์ และโรมาเนียเพื่อซ่อมแซม นอกจากนี้ มันยังทำให้ทหารอมริกาจำเป็นต้องใช้การสนทนาผ่านวิดีโอในการสอนกำลังพลยูเครนสำหรับงานซ่อมบำรุงอาวุธยุทโธปกรณ์อยู่เป็นประจำ
เจ้าหน้าที่รายหนึ่งบอกกับซีเอ็นเอ็นว่า ทหารสัญญาจ้างของสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับโปรแกรมดังกล่าวจำเป็นต้องไปพร้อมกับแผนลดความเสี่ยง
ความเป็นไปได้ของการเข้าพัวพันในความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน เพิ่มมากขึ้นของสหรัฐฯ มีขึ้นในช่วงเวลาที่ความตึงเครียดระหว่างมอสโกกับวอชิงตันกำลังเดือดดาลมากขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุด ยูเครนใช้ขีปนาวุธ ATACMS ที่จัดหาให้โดยวอชิงตัน สังหารพลเรือนอย่างน้อย 4 ราย ในนั้นเป็นเด็ก 2 คน และบาดเจ็บ 150 คน ในปฏิบัติการโจมตีชายหาดเมืองเซวาสโตโพล เมื่อวันอาทิตย์ (23 มิ.ย.) ที่ผ่านมา
ดมิทรี เปสคอฟ กล่าวหาวอชิงตันไม่ได้แค่มอบขีปนาวุธเท่านั้น แค่ยังเป็นคนชี้เป้าด้วย "เราเข้าใจเป็นอย่างดีว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ แน่นอนว่าการเข้าเกี่ยวพันโดยตรงของสหรัฐฯ ในความเป็นปรปักษ์ครั้งนี้ ผลก็คือมีพลเรือนรัสเซียถูกสังหาร และมันจะต้องมีการตอบโต้"
เพนตากอนปฏิเสธว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเล็งเป้าหมายขีปนาวุธ โดยยืนยันว่ายูเครนตัดสินใจด้วยตนเอง
(ที่มา : อาร์ทีนิวส์/ซีเอ็นเอ็น)