รอยเตอร์ - ผู้นำฟิลิปปินส์ย้ำไม่มีเป้าหมายยั่วยุให้เกิดสงคราม แต่มุ่งมั่นแก้ไขข้อขัดแย้งด้วยสันติวิธี ขณะที่อเมริกาดูเหมือนเดือดร้อนแทนเกินเหตุ ชี้สถานการณ์ในทะเลจีนใต้น่ากังวลอย่างยิ่ง และการกระทำของจีนโดยเฉพาะในกรณีล่าสุดที่บริเวณสันดอนเซ็กคันด์ โธมัส โชล เป็นการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบ ก้าวร้าว อันตราย และบ่อนทำลายเสถียรภาพอย่างรุนแรง
ประธานาธิบดีเฟอร์ดินันด์ มาร์กอส จูเนียร์ กล่าวระหว่างปราศรัยต่อทหารหน่วยบัญชาการภาคตะวันตกที่รับผิดชอบน่านน้ำในทะเลจีนใต้เมื่อวันอาทิตย์ (23 มิ.ย.) ว่าฟิลิปปินส์ไม่มีเป้าหมายยั่วยุให้เกิดสงคราม แต่มุ่งมั่นแก้ไขข้อขัดแย้งด้วยสันติวิธี
ทั้งนี้ สัปดาห์ที่ผ่านมา ทหารเรือฟิลิปปินส์ปะทะกับหน่วยยามฝั่งจีนในน่านน้ำที่มีข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ ซึ่งมีทหารฟิลิปปินส์ได้รับบาดเจ็บหนึ่งนาย และเรือหลายลำเสียหาย
กองทัพฟิลิปปินส์แถลงว่า หน่วยยามฝั่งจีนใช้มีดและหอกปล้นอาวุธ และเจตนาแทงเรือฟิลิปปินส์
โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนแถลงตอบโต้เมื่อวันพฤหัสบดี (20 มิ.ย.) ว่าหน่วยยามฝั่งของตนใช้มาตรการที่จำเป็นซึ่งถูกต้องตามกฎหมาย เป็นมืออาชีพ นอกเหนือจากการส่งสัญญาณเตือน
มาร์กอสที่ไม่ได้เอ่ยถึงจีนโดยตรงระหว่างปราศรัยเมื่อวันอาทิตย์ ยกย่องทหารฟิลิปปินส์ที่ใช้ความอดกลั้นท่ามกลางการยั่วยุอย่างรุนแรง และเสริมว่า ฟิลิปปินส์จะใช้เสรีภาพและสิทธิภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศต่อไป
ผู้นำแดนตากาล็อกสำทับว่า ฟิลิปปินส์จะปฏิบัติภารกิจต่างๆ โดยไม่ใช้กำลังหรือการข่มขู่ หรือเจตนาทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือทำให้เกิดอันตรายกับบุคคลใดๆ ก่อนย้ำว่า แนวทางในการใช้ความสงบและสันติวิธีของฟิลิปปินส์ไม่ควรถูกตีความผิดพลาดว่า เป็นการยอมจำนน
การเผชิญหน้าทางทะเลระหว่างจีนและฟิลิปปินส์ครั้งล่าสุดทำให้ทะเลจีนใต้ที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์อาจกลายเป็นประเด็นร้อนระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่ง
อเมริกาประณามการกระทำของจีน และย้ำความมุ่งมั่นภายใต้สนธิสัญญาการป้องกันประเทศร่วมกันกับฟิลิปปินส์ในการจัดการการโจมตีเรือหรือเครื่องบินของฟิลิปปินส์ในทะเลจีนใต้
เมื่อวันศุกร์ (21 มิ.ย.) ฟิลิปปินส์ยืนยันว่า ไม่มีเหตุผลที่จะบังคับใช้สนธิสัญญาดังกล่าวจากการกระทำของจีน ซึ่งเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงระบุว่า เป็นสถานการณ์ที่บานปลาย แต่ไม่ใช่การโจมตีด้วยอาวุธ
จีนนั้นอ้างสิทธิเหนือทะเลจีนใต้เกือบทั้งหมด ซึ่งรวมถึงส่วนที่ฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย และบรูไนอ้างสิทธิเช่นกัน
เมื่อปี 2016 ศาลอนุญาโตตุลาการถาวรในกรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ วินิจฉัยว่า การกล่าวอ้างของจีนไม่มีฐานทางกฎหมายรองรับ ทว่า ปักกิ่งไม่ยอมรับคำวินิจฉัยดังกล่าว
มาร์กอสย้ำว่า ฟิลิปปินส์ไม่มีเป้าหมายในการยั่วยุให้เกิดสงคราม แต่ต้องการให้ชาวฟิลิปปินส์ทุกคนใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและมั่งคั่ง และฟิลิปปินส์ไม่ยอมรับกฎที่บีบให้ต้องเลือกข้างในการแก่งแย่งแข่งขันระหว่างชาติมหาอำนาจ
แม้ฟิลิปปินส์แสดงออกอย่างชัดเจนว่า ไม่ต้องการให้สถานการณ์บานปลาย แต่เมื่อวันเสาร์ (22 มิ.ย.) แดเนียล คริเทนบริงค์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกของอเมริกา กล่าวระหว่างเยือนเวียดนามว่า สถานการณ์ในทะเลจีนใต้น่ากังวลอย่างยิ่ง และสำทับว่า การกระทำของจีนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีล่าสุดรอบสันดอนเซ็กคันด์ โธมัส โชล เป็นการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบ ก้าวร้าว อันตราย และบ่อนทำลายเสถียรภาพอย่างรุนแรง
คริเทนบลิงก์เสริมว่า อเมริกาจะยังคงยืนหยัดเคียงข้างฟิลิปปินส์ และวอชิงตันแจ้งอย่างชัดเจนกับปักกิ่งทั้งโดยเปิดเผยและเป็นการส่วนตัวว่า หน้าที่ตามสนธิสัญญาปกป้องประเทศร่วมกันกับฟิลิปปินส์เป็นหน้าที่ที่มั่นคงแข็งแกร่ง
เขายังบอกอีกว่า ทุกประเทศในภูมิภาคนี้ ซึ่งรวมถึงจีน จำเป็นต้องเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ และปฏิบัติตนอย่างมีความรับผิดชอบในกิจการทางทะเล
คริเทนบลิงค์เดินทางถึงฮานอยเมื่อวันศุกร์ ภายหลังการเยือนเวียดนามของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย ซึ่งถูกวอชิงตันวิจารณ์อย่างรุนแรง
เมื่อถูกขอให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศของเวียดนาม รวมทั้งการที่เวียดนามให้การต้อนรับปูติน คริเทนบลิงค์กล่าวว่า เวียดนามเท่านั้นที่สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับวิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องอธิปไตยและส่งเสริมผลประโยชน์ของประเทศ
เวียดนามและอเมริกายกระดับความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อย่างครอบคลุม ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ทางการทูตระดับสูงสุดของฮานอย ระหว่างที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เยือนฮานอยเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว
คริเทนบลิงค์กล่าวว่า การยกระดับความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นการดำเนินการครั้งประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำ และเสริมว่า เขาต้องการรักษาโมเมนตัมนั้นไว้เพื่อให้แน่ใจว่า ข้อตกลงทั้งหมดที่ทำร่วมกันจะได้รับการดำเนินการจนลุล่วง