อิสราเอลยอมรับโจมตีโรงเรียนของสหประชาชาติในกาซา แต่อ้างว่าสังหารนักรบฮามาสที่กบดานอยู่ข้างในได้จำนวนมาก ทว่าเจ้าหน้าที่กาซาโต้ ไม่มีศูนย์บัญชาการฮามาสที่อาคารดังกล่าว และมีพลเรือนเสียชีวิตจากการโจมตีของยิวถึงราว 40 คน ซึ่งรวมถึงเด็กและผู้หญิง ขณะเดียวกัน ในอีกด้านหนึ่ง เนทันยาฮูประกาศกร้าวอิสราเอลพร้อมเต็มที่สำหรับ “การปฏิบัติการอย่างดุเดือดเข้มข้นมาก” ตามแนวชายแดนติดต่อกับเลบานอน ซึ่งเกิดการยิงตอบโต้กันแทบทุกวันระหว่างกองทัพรัฐยิวกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์
อิสมาอิล อัล-ทาวับตา ผู้อำนวยการศูนย์สื่อของรัฐบาลฮามาส ระบุเมื่อวันพฤหัสบดี (6 มิ.ย.) ว่า โรงเรียนของหน่วยงานเพื่อผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ของยูเอ็น (ยูเอ็นอาร์ดับเบิลยูเอ) ในค่ายผู้ลี้ภัยนูเซรัต ตอนกลางของฉนวนกาซา ไม่ได้มีศูนย์บัญชาการของฮามาสแอบซ่อนอยู่ตามที่อิสราเอลกุขึ้นเพื่อความชอบธรรมในการก่ออาชญากรรมโหดร้ายทารุณต่อพลเรือนปาเลสไตน์
ขณะที่กองทัพอิสราเอลยืนยันว่า ได้ดำเนินการขั้นตอนต่างๆ เพื่อปกป้องพลเรือนแล้ว ก่อนที่เครื่องบินขับไล่ของฝ่ายตนจะเข้าปฏิบัติภารกิจ “การโจมตีอย่างแม่นยำ” ที่โรงเรียนดังกล่าว พร้อมเผยแพร่ภาพถ่ายดาวเทียมซึ่งโฟกัสพื้นที่สองส่วนของอาคารมรากองทัพอิสราเอลระบุว่ามีพวกนักรบฮามาสหลบซ่อนอยู่
พันตรีปีเตอร์ เลิร์นเนอร์ โฆษกกองทัพอิสราเอล แถลงยืนยันความเชื่อมั่นในข้อมูลข่าวกรอง พร้อมกล่าวหานักรบของกลุ่มฮามาส และกลุ่มอิสลามิกญิฮาด ซึ่งเป็นพันธมิตรของฮามาส จงใจใช้สถานที่ของยูเอ็นเป็นฐานปฏิบัติการ
เลิร์นเนอร์บอกว่า มีนักรบฮามาส 20-30 คนซ่อนอยู่ในอาคารดังกล่าว และหลายคนในจำนวนนี้ถูกสังหารในการโจมตี แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดที่แน่นอนโดยบอกว่าเนื่องจากอยู่ระหว่างการประเมินทางด้านข่าวกรอง กระนั้นก็สำทับว่า ไม่ได้รับรายงานว่า มีพลเรือนบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
ทางด้านจูเลียต ทูมา ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของยูเอ็นอาร์ดับเบิลยูเอ แถลงว่า โรงเรียนดังกล่าวอาจถูกโจมตีหลายครั้ง แต่ยังไม่สามารถยืนยันจำนวนผู้เสียชีวิตได้ในขณะนี้
ก่อนหน้านี้พวกสื่อในกาซารายงานจำนวนผู้เสียชีวิต 35-40 คน ขณะที่ทาวับตาและแหล่งข่าวทางการแพทย์ในกาซา ระบุตัวเลขที่ 40 คน ซึ่งรวมถึงเด็ก 14 คน และผู้หญิง 9 คน
ทั้งนี้ เมื่อวันพุธ (5) อิสราเอลประกาศออกปฏิบัติการทางทหารภาคพื้นดินครั้งใหม่ในตอนกลางกาซา โดยบอกว่าทหารต้องต่อสู้กับนักรบฮามาสที่ใช้ยุทธวิธีโจมตีแล้วถอยหนี อิสราเอลยังยืนกรานว่า จะไม่พักการสู้รบระหว่างการเจรจาหยุดยิงที่กำลังทวีความเข้มข้น นับจากที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เปิดเผยข้อเสนอหยุดยิงเวอร์ชันล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (31 พ.ค.)
สงครามกาซาของอิสราเอลครั้งนี้ปะทุขึ้นหลังจากนักรบฮามาสบุกเข้าโจมตีภาคใต้อิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ปีที่แล้ว สังหารผู้คนไปราว 1,200 คน อีกทั้งจับตัวประกันกว่า 250 คนกลับไปยังกาซา โดยตัวประกันราวครึ่งหนึ่งได้รับการปล่อยตัวระหว่างการหยุดยิงในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
อิสราเอลได้ตอบโต้ด้วยการโจมตีกาซาอย่างแหลกลาญทั้งภาคพื้นดินและอากาศ ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 36,000 คน โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกาซายังเชื่อว่า มีผู้เสียชีวิตซึ่งติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังอีกหลายพันคน
ทั้งเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และอิสราเอลบอกว่า เชื่อว่านักรบฮามาสถูกสังหารไปราวครึ่งหนึ่งระหว่างสงครามที่ดำเนินมา 8 เดือน โดยที่นักรบปาเลสไตน์กลุ่มนี้กำลังอาศัยยุทธวิธีก่อความไม่สงบเพื่อบ่อนทำลายความพยายามของอิสราเอลในการเข้าควบคุมกาซา
จากข้อมูลของเจ้าหน้าที่อาวุโส 3 คนของอเมริกาที่คุ้นเคยกับสถานการณ์ในสนามรบ นักรบฮามาสเวลานี้มีจำนวนเพียง 9,000-12,000 คน จากที่อเมริกาประเมินไว้ก่อนสงครามในกาซาคราวนี้ว่ามี 20,000-25,000 คน ขณะที่อิสราเอลระบุว่าฝ่ายตนสูญเสียทหารไปเกือบ 300 นาย
ในอีกด้านหนึ่ง การสู้รบขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ที่เป็นพันธมิตรของฮามาส และได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านเช่นเดียวกัน กำลังลุกลามมากขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงไม่กี่วันมานี้ หลังจากสองฝ่ายยิงตอบโต้กันข้ามพรมแดนอิสราเอล-เลบานอนแทบทุกวัน
กองทัพอิสราเอลแถลงเมื่อวันพฤหัสฯ ว่า ทหารเสียชีวิตอีก 1 นายจากการสู้รบทางภาคเหนือของรัฐยิวในวันพุธ โดยมีการส่งโดรนติดระเบิด 2 ลำจากเลบานอนเข้าไปโจมตีเมืองเฮอร์เฟอิช รวมแล้วมีทหารเสียชีวิตอย่างน้อย 15 นาย และพลเรือน 11 คน นับจากมีการปะทะข้ามพรมแดนตั้งแต่เมื่อต้นเดือนตุลาคมปีที่แล้ว
สำหรับทางฝั่งเลบานอนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 455 คน ส่วนใหญ่เป็นนักรบ แต่มีพลเรือนรวมอยู่ด้วยถึง 88 คน
นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ประกาศเมื่อวันพุธว่า อิสราเอลเตรียมพร้อมแล้วสำหรับการปฏิบัติการอย่างดุเดือดเข้มข้นมากๆ ตามแนวชายแดนติดกับเลบานอน และจะฟื้นสถานการณ์ความมั่นคงทางด้านเหนือของประเทศไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ทว่า กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ รีบออกคำแถลงเตือนว่า การดำเนินการดังกล่าวอาจทำให้การสู้รบขัดแย้งลุกลามออกไปซึ่งจะสร้างความเสี่ยงต่อความมั่นคงของอิสราเอลเอง
(ที่มา : รอยเตอร์, เอเอฟพี, เอพี)