กระทรวงการต่างประเทศของจีนแถลงแบบฟาดตรงๆ เมื่อวันพุธ (15 พ.ค.) ว่า การที่สหรัฐฯ เพิ่มอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีน คือสัญญาณของความอ่อนแอ ไม่ใช่ความเข้มแข็ง และแสดงให้เห็นว่าบางคนในอเมริกาอาจเสียสติไปแล้ว
เมื่อวันอังคาร (14 พ.ค.) ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เปิดตัวมาตรการปรับเพิ่มภาษีสูงลิ่วที่เรียกเก็บจากบรรดาสินค้านำเข้าจากจีน ในนั้นรวมถึงรถไฟฟ้า แบตเตอรี่รถไฟฟ้า ชิปคอมพิวเตอร์และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ ก่อความเสี่ยงเผชิญหน้ากับปักกิ่งในขวบปีที่มีการเลือกตั้ง ในขณะที่เขาพยายามเรียกคะแนนเสียงจากผู้มีสิทธิออกเสียงที่ให้คะแนนในระดับต่ำต่อนโยบายทางเศรษฐกิจต่างๆ ของผู้นำรายนี้
ไบเดน ระบุว่าการปรับขึ้นภาษีนำเข้าดังกล่าว ซึ่งจะมีผลบังคับใช้กับสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่าราว 18,000 ล้านดอลลาร์นั้น มีเป้าหมายที่จะป้องกันไม่ให้จีนคุกคามแรงงานในภาคการผลิตของสหรัฐฯ และตัดราคาสินค้าในอุตสาหกรรมต่างๆ ของอเมริกา
สหรัฐฯ จะปรับเพิ่มการจัดเก็บภาษีรถไฟฟ้าจีน 4 เท่า เป็น 100% ในปีนี้ และปรับเพิ่มมาตรการจัดเก็บภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม 3 เท่า ส่วนอัตราภาษีของธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ของจีน จะถูกจัดเก็บเพิ่ม 2 เท่า นับตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป ขณะที่ภาษีสำหรับโซลาร์เซลล์จะถูกปรับขึ้น 2 เท่าเช่นกันในปีนี้ สู่ระดับ 50%
นอกจากนี้ วอชิงตันจะเรียกเก็บภาษีเพิ่ม 3 เท่า ต่อแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนของจีน สำหรับรถอีวี เป็น 25% ในปีนี้ และจะใช้มาตรการเดียวกันกับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสำหรับสินค้าอื่นๆ ที่ไม่ใช่รถไฟฟ้า ตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป ความเคลื่อนไหวที่พวกเจ้าหน้าที่บอกว่าออกแบบมาเพื่อให้เวลาบริษัทต่างๆ ของสหรัฐฯ พัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าว
ตามหลังความเคลื่อนไหวดังกล่าว จีนประกาศแก้แค้นในทันที "นี่คือรูปแบบอันธพาลที่พบเห็นได้ทั่วไปในโลกทุกวันนี้ มันแสดงให้เห็นว่ามีบางคนในสหรัฐฯ อยู่ในจุดที่พวกเขากำลังกระทำการอย่างเสียสติ เพื่อรักษาไว้ซึ่งความเป็นเจ้าโลกขั้วเดียวของพวกเขา" หวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีนกล่าวในถ้อยแถลงที่เผยแพร่โดยซีซีทีวี สื่อมวลชนแห่งรัฐ
"ความพยายามขจัดจีนของสหรัฐฯ ไม่ได้พิสูจน์ว่าอเมริกาเข้มแข็ง แต่มันเป็นการเปิดโปงให้เห็นว่าสหรัฐฯ กำลังสูญเสียความเชื่อมั่นในตนเองและอยู่ในภาวะชำรุดทรุดโทรม" เขากล่าว พร้อมบอกต่อว่าความเคลื่อนไหวของอเมริกาไม่อาจเตะถ่วงพัฒนาการของจีน หนำซ้ำยังจะเป็นแรงบันดาลใจให้พลเมือง 1,400 ล้านคนของประเทศทำงานหนักยิ่งขึ้น
"ณ ช่วงเวลาสำคัญของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ประชาคมนานาชาติควรเตือนสหรัฐฯ อย่าได้ก่อปัญหาใหม่ให้แก่โลกใบนี้" เขากล่าว
ไบเดน คาดการณ์ว่าบางที จีนอาจปรับขึ้นภาษีในการแก้แค้น เป็นไปได้ว่าอาจเล็งเป้าเล่นงานผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่เชื่อว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวไม่น่าจะนำไปสู่ความขัดแย้งในระดับนานาชาติ
ในความเคลื่อนไหวที่สอดรับกัน จีนา ไรมอนโด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ เปิดเผยในวันพุธ (15 พ.ค.) ว่ากระทรวงของเธอมีแผนออกกฎระเบียบที่กำหนดกับยานยนต์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับจีน ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ โดยอ้างถึงความเสี่ยงด้านความมั่นคงแห่งชาติที่มีต่อข้อมูลของชาวอเมริกา
ไรมอนโด เคยกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่าอเมริกาอาจใช้มาตรการหนักหน่วง แบนรถยนต์ที่เกี่ยวข้องกับจีนหรือกำหนดข้อจำกัดต่างๆ กับยานยนต์เหล่านั้น หลังจากเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ รัฐบาลไบเดน เปิดการตรวจสอบสืบสวนว่ายานยนต์ที่นำเข้าจากจีนนั้น ก่อความเสี่ยงด้านความมั่นคงแห่งชาติหรือไม่
ยานยนต์เชื่อมต่อเหล่านั้นติดตั้งฮาร์ดแวร์เครือข่ายแบบบูรณาการบนรถ ที่เปิดทางสำหรับการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต และเปิดทางให้พวกมันแบ่งปันข้อมูลกับอุปกรณ์ต่างๆ ที่ติดตั้งอยู่ภายในหรือภายนอกรถยนต์
"เราคาดการณ์ว่าจะมีกฎระเบียบบางอย่างออกมาในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้" ไรมอนโดบอกกับคณะกรรมาธิการชุดหนึ่งของวุฒิสภาในวันพุธ (15 พ.ค.) พร้อมบอกว่า "ความเสี่ยงต่างๆ ด้านความมั่นคงแห่งชาติใหญ่หลวงมาก เราตัดสินใจต้องดำเนินการ เพราะว่ามันเป็นเรื่องร้ายแรงจริงๆ"
ไรมอนโด กล่าวว่ารถยนต์เชื่อมต่อ "มีเซ็นเซอร์หลายพัน ชิปหลายพัน พวกมันถูกควบคุมโดยซอฟต์แวร์ซึ่งมาจากปักกิ่ง ในกรณีที่เป็นรถที่ผลิตโดยจีน พวกมันรู้ว่ารถยนต์ขับไปที่ไหนบ้าง รูปแบบการขับขี่เป็นอย่างไร รู้ในสิ่งที่พวกคุณพูดในรถ มีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของชาวสหรัฐฯ ที่ไหลตรงกลับไปยังปักกิ่ง"
กระทรวงการต่างประเทศจีนเคยเรียกร้องสหรัฐฯ "ให้เคารพกฎหมายเศรษฐกิจตลาดและหลักการของการแข็งขันอย่างยุติธรรม" พร้อมโต้แย้งว่ารถยนต์ของจีนเป็นที่นิยมทั่วโลก ไม่สิ่งเพราะสิ่งที่เรียกว่าแนวทางปฏิบัติที่ไม่ยุติธรรม แต่เป็นเพราะพวกมันอยู่เหนือกว่าในการแข่งขันทางการตลาดอันดุเดือดและด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยี
ทำเนียบขาวชี้แจงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ว่าการสืบสวนของกระทรวงพาณิชย์มีขึ้นเพราะว่ารถยนต์ของจีน "รวบรวมข้อมูลที่อ่อนไหวจำนวนมาก ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร และมักใช้กล้องบันทึกภาพและเซ็นเซอร์ บันทึกรายละเอียดข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของสหรัฐฯ"
(ที่มา : รอยเตอร์)