สหรัฐฯเวลานี้ยังต้องใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อสร้างศักยภาพด้านสปายของตนในประเทศจีนขึ้นมาใหม่ ภายหลังสูญเสียสายลับทั้งหมดของตนในแดนมังกร เจ้าหน้าที่ข่าวกรองทั้งในอดีตและปัจจุบันยอมรับ ตามรายงานในหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัลเมื่อวันจันทร์ (25 ธ.ค.)
หน่วยล่าสปายของปักกิ่งทำเอาสหรัฐฯอยู่ในอาการตาบอดเกี่ยวกับสถานการณ์ในจีนเมื่อราว 1 ทศวรรษที่แล้ว จากการที่พวกเขาเข้ากวาดล้างเครือข่ายสายลับชาวจีนที่ทำงานให้แก่สำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (ซีไอเอ) อย่างเป็นระบบ โดยมีขุมข่าวจำนวนมากถึง 20 กว่าคนทีเดียวซึ่งคอยป้อนข้อมูลข่าวสารให้สหรัฐฯ ถูกประหารชีวิตหรือถูกจับกุมคุมขัง ในนี้เป็นเจ้าหน้าที่ชาวจีนตำแหน่งสูงๆ หลายต่อหลายคน
ตามการให้สัมภาษณ์ของพวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯทั้งอดีตและปัจจุบัน จนถึงตอนนี้ซีไอเอก็ยังคงต้องลงแรงพยายามเพื่อสร้างสมรรถนะด้านการสืบความลับโดยมนุษย์ขึ้นมาใหม่ในจีน ซึ่งถือเป็นเป้าหมายระดับท็อปทางด้านข่าวกรองของหน่วยงานแห่งนี้ โดยช่องโหว่ที่เกิดขึ้นมาทำให้วอชิงตันมีความเข้าใจเพียงระดับจำกัดเกี่ยวกับการพิจารณาวินิจฉัยแบบปิดลับในหมู่ผู้นำของจีนระดับ สี จิ้นผิง และแวดวงคนสนิทใกล้ชิดของเขา ในประเด็นความมั่นคงสำคัญๆ อย่างเช่นไต้หวัน ตลอดจนหัวข้ออื่นๆ
รายงานชิ้นนี้ของวอลล์สตรีทเจอร์นัล ได้พูดถึง “การเปลี่ยนเปลี่ยนครั้งมโหฬารทว่าส่วนใหญ่ทำกันแบบปิดลับทั้งที่ซีไอเอและที่หน่วยงานสปายของสหรัฐฯแห่งอื่นๆ” โดยมีการปรับจุดเน้นหนักของกลไกข่าวกรองของสหรัฐฯที่มีมูลค่าปีละ 100,000 ล้านดอลลาร์เหล่านี้ จาก “การต่อสู้กับเหตุการณ์ก่อความไม่สงบต่างๆ ทั่วโลก” มาเป็น “การเตรียมพร้อมสำหรับการสู้รบขัดแย้งแบบ ‘มหาอำนาจยิ่งใหญ่’ กับจีนและรัสเซียซึ่งอาจจะเกิดขึ้นมา”
วอลล์สตรีทเจอร์นัลยังได้สัมภาษณ์ วิลเลียม เบิร์นส์ ผู้อำนวยการซีไอเอ ซึ่งยืนยันว่า ปักกิ่งคือเป้าหมายสำคัญสูงสุดของซีไอเอ โดยมีการกันงบประมาณสำหรับปฏิบัติการในจีนเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าตัวในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รวมถึงจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการจีนขึ้นเป็นหน่วยงานเอกเทศ ทำหน้าที่ประสานงานกิจกรรมต่างๆ ในจีน
กิจกรรมดังกล่าวเหล่านี้ ก็รวมถึงหน่วยงานใหม่ที่มุ่งเน้นพวกเทคโนโลยีอุบัติใหม่และการติดต่อประสานงานกับภาคเอกชนของสหรัฐฯ เวลาเดียวกัน สำนักงานข่าวกรองหลายแห่งของอเมริกายังมีการจัดตั้งหน่วยงานที่เน้นการวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งเปิด ขณะที่การสอดแนมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์กำลังกลายเป็นแหล่งข้อมูลหลักภายในจีนของวอชิงตันไป ในเมื่อกลไกการตรวจตราระแวดระวังของปักกิ่งเอง ทำให้การพบปะและการมองหาทรัพยากรมนุษย์ที่สามารถดึงเอามาเป็นสปายสายลับอเมริกันได้ เป็นเรื่องที่มีอันตรายเพิ่มขึ้น
อดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสคนหนึ่งยอมรับว่า แม้กระทั่งการพยายามดึงเอาพวกเจ้าหน้าที่จีนมาสปาย ระหว่างที่พวกเขาเดินทางไปยังประเทศที่สามก็ปรากฏว่าทำได้ยาก โดยอดีตเจ้าหน้าที่ผู้นี้ได้ยกตัวอย่างของทีมสายลับอเมริกันที่เชื่อว่าปิดบังอำพรางตัวตนมิดชิดดีแล้วเมื่ออยู่ในประเทศแถบละตินอเมริกาประเทศหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วกลับถูกผู้สังเกตการณ์ชาวจีนตามถ่ายรูปได้ขณะพวกเขาพยายามดึงเอาเป้าหมายมาเป็นสายลับ
เจ้าหน้าที่ข่าวกรองทั้งในอดีตและปัจจุบันของอเมริกายอมรับว่า ภารกิจของซีไอเอง่อยเปลี้ยหลังจากสูญเสียสายลับในจีนอาจจะถึง 30 คนทีเดียวระหว่างปี 2010-2012 เนื่องจากความผิดพลาดในระบบสื่อสารปิดลับ และการทรยศของสายลับจีนคนหนึ่ง
อดีตเจ้าหน้าที่คนหนึ่งระบุว่า การสูญเสียดังกล่าวเลวร้ายมาก และน่าสงสัยว่าจนถึงตอนนี้ซีไอเอสามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้มากน้อยแค่ไหน รวมทั้งยังสำทับว่า การถูกเปิดโปงดังกล่าวไม่ได้สร้างปัญหาในการดึงคนมาเป็นสายลับเฉพาะในจีนเท่านั้น
ขณะที่สหรัฐฯยังคงรักษาเครือข่ายของดาวเทียมสปายและเครื่องมือสอดแนมในไซเบอร์ซึ่งมุ่งโฟกัสที่จีนเอาไว้ได้ แต่ซีไอเอยังไม่สามารถกู้ฟื้นศักยภาพการหาข่าวกรองภาคสนามในจีนได้เลย และแม้แต่ตอนนี้ยังต้องพึ่งพาคำแถลงของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงที่เผยแพร่ต่อสาธารณชน เพื่อวิเคราะห์แผนการของผู้นำจีน พวกแหล่งข่าวของวอลล์สตรีทเจอร์นัลยอมรับ
อย่างไรก็ดี เบิร์นส์แย้มว่า อเมริกาล่วงรู้แผนการของสีเกี่ยวกับไต้หวัน โดยผู้อำนวยการซีไอเอผู้นี้เคยกล่าวในงานประชุม แอสเพน ซีเคียวริตี้ ฟอรัม ในสหรัฐฯเมื่อเดือนกรกฎาคมว่า สีและคณะผู้นำทางทหารของเขายังไม่มั่นใจว่า จีนสามารถหรือไม่ที่จะดำเนินการรุกรานไต้หวันแบบเต็มรูปอย่างประสบสำเร็จ โดยเสียค่าใช้จ่ายในระดับซึ่งพวกเขายอมรับได้
(ที่มา: อาร์ที, วอลล์สตรีทเจอร์นัล)