หัวหน้าหน่วยข่าวกรองต่างประเทศของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ส่งเสียงเตือนไปยังสหรัฐฯเมื่อวันพฤหัสบดี(7ธ.ค.) ว่าแรงสนับสนุนของตะวันตกที่มอบแก่ยูเครน จะเปลี่ยนความขัดแย้งนี้กลายเป็น "เวียดนาม2" ที่จะตามหลอกหลอนวอชิงตันไปอีกหลายปี
ปูติน ส่งทหารบุกเข้าไปยังยูเครนเมื่อช่วงต้นปีที่แล้ว โหมกระพือสงครามที่สังหารผู้คนและมีผู้ได้รับบาดเจ็บแล้วหลายแสนราย และนำมาซึ่งการเผชิญหน้าครั้งใหญ่ที่สุดระหว่างรัสเซียกับตะวันตกในรอบกว่า 6 ทศวรรษ
ตะวันตกมอบความช่วยเหลือแก่ยูเครนไปแล้วมากกว่า 246,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งในแง่เงินทุนและอาวุธ แต่ปฏิบัติการโจมตีตอบโต้ของยูเครนประสบความล้มเหลว และรัสเซียยังคงควบคุมพื้นที่ ซึ่งมีขนาดพอๆกับ 1 ใน 5 ของดินแดนยูเครน
"ยูเครนจะกลายเป็นหลุมดำที่กำลังดูดซับทรัพยากรและบุคลากรมากขึ้นเรื่อยๆ" เซอร์เก นาริชกิน หัวหน้าหน่วยข่าวกรองต่างประเทศของรัสเซียกล่าว "ในท้ายที่สุด สหรัฐฯกำลังเสี่ยงก่อเวียดนาม 2 แก่ตัวเอง และทุกรัฐบาลชุดใหม่ของอเมริกา จะต้องคอยมาจัดการกับมัน"
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ เคยเตือนว่าการเผชิญหน้าโดยตรงระหว่างนาโตกับรัสเซีย อาจโหมกระพือสงครามโลกครั้งที่ 3 และปฏิเสธซ้ำๆในการส่งทหารอเมริกาไปยังยูเครน
สงครามเวียดนามเป็นสงครามครั้งใหญ่สงครามหนึ่งซึ่งเกิดจากการดำเนินนโยบายทางการเมืองระหว่างมหาอำนาจและรัฐบริวารในสงครามเย็น สงครามนี้นอกจากจะส่งผลกระทบต่อเวียดนาม (ประมาณกันว่ามีคนเวียดนามเสียชีวิตกว่า 2 ,000,000 คน) แล้วยังรวมไปถึงสังคม การเมือง เศรษฐกิจนโยบายต่างประเทศและทหารของสหรัฐอเมริกาอย่างมหาศาล (มีทหารอเมริกันเสียชีวิตกว่า 58,000 คน) อันเป็นสาเหตุที่ทำให้สหรัฐ ฯ ไม่สามารถทำการบุกรุกประเทศอื่นในขอบเขตขนาดใหญ่และเข้ายึดครองได้เป็นเวลา 25 ปี
ไบเดน ร้องขอสมาชิกพรรครีพับลิกันในวันพุธ(6ธ.ค.) สำหรับเห็นชอบความช่วยเหลือด้านการทหารรอบใหม่ที่จะมอบแก่ยูเครน "ถ้าปูตินยึดยูเครน พวกเขาจะไม่หยุดแค่นั้น" ไบเดนกล่าวทำนายว่า ปูติน จะเดินหน้าโจมตีชาติพันธมิตรหนึ่งๆของนาโต
ในการพาดพิงถึงความเป็นไปได้ที่รัสเซียจะโจมตีนาโต ไบเดนเน้นย้ำว่าทหารอเมริกาจะเข้าเกี่ยวข้องโดยตรงกับความขัดแย้ง พร้อมเตือนผู้นำรัสเซียอย่าได้แสดงเจตนายึดครองยูเครน รวมถึงรุกรานรัฐสมาชิกนาโตไหนๆ
จากนั้น ไบเดน กล่าวต่อว่า "เราจะเจอบางอย่างที่เราไม่ต้องการเสาะแสวงหา และที่เรายังไม่มีในวันนี้ นั่นคือทหารอเมริกาสู้รบกับทหารรัสเซีย"
(ที่มา:รอยเตอร์/อาร์ทีนิวส์)