เหตุโจมตีแทบรายวันเล่นงานกองกำลังสหรัฐฯ ในอิรักและซีเรียหยุดลงไปเลย นับตั้งแต่ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับฮามาสมีผลบังคับใช้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จากการเปิดเผยของกระทรวงกลาโหมอเมริกา (เพนตากอน) ในวันอังคาร (28 พ.ย.)
กองกำลังอเมริกาใน 2 ประเทศตกเป็นเป้าหมายโจมตีด้วยจรวดและโดรนมากกว่า 70 ครั้ง นับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนตุลาคม ในเหตุความรุนแรงที่โหมพระพือขึ้นมา ซึ่งทางสหรัฐฯ กล่าวโทษว่ามีฝีมือของกองกำลังติดอาวุธต่างๆ ที่อิหร่านให้การสนับสนุน
"ไม่มีเหตุโจมตีกองกำลังสหรัฐฯ ในอิรักและซีเรีย นับตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน นับตั้งแต่การหยุดปฏิบัติการทางทหารเริ่มต้นขึ้น" พลอากาศจัตวาแพทริก ไรเดอร์ โฆษกเพนตากอนบอกกับผู้สื่อข่าว
การโจมตีต่างๆ ส่งผลให้กำลังพลสหรัฐฯ ได้รับบาดเจ็บหลายสิบราย ในขณะที่บุคลากรเหล่านี้อยู่ในอิรักและซีเรีย ส่วนหนึ่งในความพยายามป้องกันไม่ให้กลุ่มญิฮาดรัฐอิสลาม (ไอเอส) คืนชีพ อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่นั้น ทั้งหมดสามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่ได้แล้ว
เหตุโจมตีที่เพิ่มขึ้นต่อกำลังพลสหรัฐฯ มีความเชื่อมโยงกับสงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาส ซึ่งโหมกระพือขึ้นในวันที่ 7 ตุลาคม ครั้งที่กลุ่มนักรบปาเลสไตน์บุกจู่โจมข้ามพรมแดนจากฉนวนกาซาอย่างไม่คาดคิด สังหารผู้คนในอิสราเอลราว 1,200 ราย
นับตั้งแต่นั้น อิสราเอลเปิดปฏิบัติการแก้แค้นทิ้งบอมบ์ถล่มฉนวนกาซา ที่ปกครองโดยฮามาส สังหารชาวกาซาไปมากกว่า 15,000 คน
ตัวเลขผู้เสียชีวิตจำนวนมากโหมกระพือความโกรธเคืองในตะวันออกกลาง และมอบแรงกระตุ้นให้กลุ่มนักรบติดอาวุธฝ่ายตรงข้าม โจมตีเล่นงานกำลังพลสหรัฐฯ ต่อกรณีที่วอชิงตันให้การสนับสนุนอิสราเอล
ข้อตกลงหยุดยิง 4 วันที่มีกาตาร์เป็นคนกลางมีผลบังคับใช้ในวันที่ 24 พฤศจิกายน ซึ่งฮามาสยอมปล่อยตัวประกันแลกกับการที่อิสราเอลปล่อยนักโทษชาวปาเลสไตน์
นับตั้งแต่นั้น ข้อตกลงหยุดยิงได้ถูกขยายกรอบเวลาออกไป และเวลานี้บรรดาคนกลางกำลังพยายามหาทางให้ได้ข้อตกลงหยุดยิงที่ยั่งยืน ในสงครามอิสราเอลกับฮามาส ที่ยืดเยื้อมานานกว่า 7 สัปดาห์
สหรัฐฯ ใช้โดรนบินเหนือฉนวนกาซา ส่วนหนึ่งในความพยายามหาตำแหน่งตัวประกันที่ถูกฮามาสคุมตัวไว้ แต่ปฏิบัติการเหล่านี้ต้องหยุดพักไป ส่วนหนึ่งในข้อตกลงหยุดยิง จากการเปิดเผยของไรเดอร์
(ที่มา : เอเอฟพี)
