กองทัพอิสราเอลแถลงวันนี้ (1 พ.ย.) ว่ากองกำลังของตนได้โจมตีเป้าหมายทางทหารในฉนวนกาซามากกว่า 11,000 จุด นับตั้งแต่สงครามกับกลุ่มฮามาสเริ่มปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ขณะที่ซาอุดีอาระเบียออกมาแถลงประณามอย่างรุนแรงต่อการที่อิสราเอลส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดใส่ค่ายผู้ลี้ภัยขนาดใหญ่ในกาซา จนมีพลเรือนเสียชีวิตไปอย่างน้อย 50 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นอิสราเอลอ้างว่าเป็นแกนนำคนสำคัญของฮามาส
“ตั้งแต่สงครามเริ่มขึ้น กองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) ได้โจมตีเป้าหมายกลุ่มก่อการร้ายในฉนวนกาซาแล้วมากกว่า 11,000 จุด” ถ้อยแถลงของกองทัพอิสราเอลระบุ
ในช่วงไม่กี่วันมานี้เกิดการปะทะกันอย่างดุเดือดระหว่างกองกำลังภาคพื้นดินอิสราเอลกับกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา หลังจากที่เทลอาวีฟประกาศเดินหน้าภารกิจ “บดขยี้” พวกฮามาสที่จู่โจมภาคใต้ของอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค. และสังหารประชาชนไป 1,400 คน รวมถึงผู้หญิง เด็ก และคนชรา
ขณะเดียวกัน การโจมตีทางอากาศแบบไม่หยุดไม่หย่อนของอิสราเอลก็ได้คร่าชีวิตพลเรือนปาเลสไตน์ไปแล้วไม่ต่ำกว่า 8,500 คน โดยผู้เสียชีวิต 2 ใน 3 เป็นเด็กและสตรี ตามข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขกาซา
ล่าสุด อิสราเอลได้ประกาศยิงทำลายเครือข่ายอุโมงค์ใต้ดินของฮามาสที่ตั้งอยู่กลางค่ายผู้ลี้ภัยจาบาเลีย (Jabalia) เมื่อวานนี้ (31) และอ้างว่าสามารถสังหาร อิบราฮิม เบียรี (Ibrahim Biari) หัวหน้ากองพันท้องถิ่นของฮามาสที่มีส่วนร่วมวางแผนโจมตีดินแดนอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค.
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ปฏิบัติการโจมตีครั้งนี้คร่าชีวิตพลเรือนปาเลสไตน์ไปอย่างน้อย 50 คน ขณะที่เอเอฟพีอ้างผู้เห็นเหตุการณ์ในพื้นที่ซึ่งบอกว่ามีศพผู้เสียชีวิตถูกเก็บกู้ขึ้นมาแล้วไม่ต่ำกว่า 47 ร่าง
รัฐบาลซาอุดีอาระเบียออกมาแถลงประณามการโจมตีทางอากาศครั้งนี้ “ด้วยถ้อยคำรุนแรงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” และขอตำหนิ “การจงใจโจมตีค่ายผู้ลี้ภัยอย่างไร้มนุษยธรรมโดยกองกำลังผู้ยึดครองชาวอิสราเอล”
กระทรวงการต่างประเทศซาอุฯ ย้ำว่า การกระทำของอิสราเอล “ก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตและการบาดเจ็บของพลเรือนผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก”
ถ้อยแถลงนี้เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งชี้ว่า สงครามอิสราเอล-ฮามาสกำลังบ่อนทำลายโอกาสในการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างซาอุฯ กับอิสราเอลให้เหลือน้อยลงทุกที
ก่อนจะเกิดการโจมตีของพวกฮามาส สหรัฐฯ เกือบจะประสบความสำเร็จในการเกลี้ยกล่อมให้ซาอุดีอาระเบียซึ่งเป็นมหาอำนาจฝ่ายมุสลิมสุหนี่ และเป็นผู้ดูแลศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของอิสลาม ยอมรับรองสถานะของรัฐอิสราเอลเป็นครั้งแรก
ฝ่ายที่สนับสนุนข้อตกลงนี้เชื่อว่ามันจะทำให้โลกตะวันออกกลางเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หลังจากที่อิสราเอลมีความสัมพันธ์ทั้งด้านการทูต การค้า และความมั่นคงกับบรรดารัฐอาหรับเพื่อนบ้านอย่างจำกัดมานานหลายสิบปี
แหล่งข่าวใกล้ชิดการเจรจาให้ข้อมูลกับเอเอฟพีเมื่อเดือน ต.ค. ว่า สถานการณ์ความรุนแรงครั้งนี้ทำให้ริยาดตัดสินใจ “ระงับ” การพูดคุยเพื่อฟื้นสัมพันธ์กับเทลอาวีฟ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลซาอุฯ เคยเตือนอิสราเอลแล้วว่าอย่าได้ทำการรุกรานภาคพื้นดินในกาซามากไปกว่านี้
ที่มา : เอเอฟพี
