“ไบเดน” ปักหมุดเยือนอิสราเอลวันพุธ (18 ต.ค.) เพื่อย้ำการสนับสนุนการทำสงครามกับฮามาส หลังจากสหรัฐฯ อ้าง “เนทันยาฮู” ยอมเปิดทางให้ส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้แก่ประชาชนที่ถูกปิดล้อมในกาซา ขณะที่ผู้นำสูงสุดอิหร่านเรียกร้องอิสราเอลยุติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์และการทิ้งระเบิดถล่มฉนวนกาซาทันที เตือนไม่มีใครสามารถต้านทานแนวร่วมมุสลิมคัดค้านอิสราเอลและอเมริกาได้
แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันอังคาร (17) เกี่ยวกับแผนการเยือนอิสราเอลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ภายหลังหารือกับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู โดยระบุว่าสหรัฐฯ กับอิสราเอลตกลงร่วมพัฒนาแผนการเพื่อลำเลียงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้แก่พลเรือนในกาซา
บลิงเคนบอกว่า ไบเดนต้องการทราบว่า อิสราเอลต้องการสิ่งใดเพื่อปกป้องประชาชนชาวอิสราเอล รวมถึงแนวทางในการสู้รบที่จะลดจำนวนการสูญเสียของพลเรือนให้เหลือน้อยที่สุด และเปิดทางให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมถึงมือพลเรือนในกาซาโดยที่ไม่ทำให้ฮามาสได้ประโยชน์
วอชิงตันยังพยายามล็อบบี้หาการสนับสนุนจากบรรดาประเทศอาหรับ เพื่อป้องกันไม่ให้สงครามลุกลามทั่วตะวันออกกลาง หลังจากอิหร่านประกาศว่า กลุ่มแนวร่วมต่อต้านอิสราเอลและอเมริกา ซึ่งรวมถึงฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน อาจเปิดฉากโจมตีก่อนเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ คาดหมายกันว่า หลังเยือนอิสราเอลแล้ว ไบเดนจะบินต่อไปยังจอร์แดนเพื่อพบกับกษัตริย์อับดุลลาห์ ประธานาธิบดีอับเดล ฟัตตาห์ อัล-ซิซี ของอิหร่าน และประธานาธิบดีมาห์มูด อับบาส ของปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นศัตรูกับฮามาสแต่มีอำนาจปกครองตนเองอย่างจำกัดในเวสต์แบงก์ซึ่งเป็นเขตยึดครองของอิสราเอล
นอกจากอ้างว่าพยายามเปิดทางให้สามารถจัดส่งความช่วยเหลือผ่านจุดผ่านแดนราฟาห์ของอียิปต์แล้ว วอชิงตันบอกว่าต้องการนำชาวกาซาที่ถือหนังสือเดินทางต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงคนอเมริกันเชื้อสายปาเลสไตน์หลายร้อยคนออกมาจากกาซา โดยชาวกาซาที่ถือสองสัญชาติจำนวนมากเผยว่า ได้พยายามเดินทางไปยังราฟาห์เมื่อวันจันทร์แต่ไม่สำเร็จเนื่องจากอิสราเอลระดมโจมตีทางอากาศอย่างหนัก
ด้านอียิปต์บอกว่า จะอนุญาตการอพยพทางการแพทย์ผ่านจุดผ่านแดนราฟาห์ แต่ปฏิเสธความเป็นไปได้ในการเปิดทางรับคลื่นผู้อพยพชาวปาเลสไตน์ในกาซา ซึ่งชาติอาหรับระบุว่า จะมีชาวปาเลสไตน์หลั่งไหลทิ้งบ้านเกิดจำนวนมากเกินระดับที่ยอมรับได้ ทั้งนี้ที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ ชาวกาซาส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ถือสองสัญชาติ ไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางออกนอกเขตแดน
ในวันอังคาร อิสราเอลบอกว่า สังหารผู้ที่พยายามลักลอบข้ามแดนเข้าไปวางระเบิด 4 คน และเมื่อวันจันทร์ (16 ต.ค.) ได้สั่งอพยพประชาชนใน 28 หมู่บ้านในรัศมี 2 กิโลเมตรจากชายแดนติดกับเลบานอน
วันเดียวกันนั้น ฮอสเซน อามีร์ อับดอลลาเฮียน รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่าน ให้สัมภาษณ์สถานีทีวีของทางการว่า จะไม่ปล่อยให้อิสราเอลกระทำกาซาโดยไม่ถูกตอบโต้ พร้อมเตือนว่า กลุ่มแนวร่วมต่อต้านยิวและอเมริกาอาจชิงโจมตีก่อนในอีกไม่กี่ชั่วโมง และพร้อมทำศึกระยะยาวกับศัตรู
ต่อมาในวันอังคาร อยาตอลเลาะห์ อาลี คอเมเนอี ผู้นำสูงสุดของเตหะราน ย้ำว่า อิสราเอลควรหยุดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์และการทิ้งระเบิดถล่มฉนวนกาซาทันที เพราะไม่มีใครสามารถต้านทานแนวร่วมมุสลิมต่อต้านอิสราเอลและอเมริกาได้
คอเมเนอีสำทับว่า แนวร่วมอิสลามต้องตอบโต้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในกาซาขณะนี้ และอิสราเอลควรถูกดำเนินคดีโทษฐานก่ออาชญากรรมสงครามต่อชาวปาเลสไตน์ในกาซา
อิหร่านกำลังติดต่ออย่างใกล้ชิดกับกลุ่มพันธมิตรในตะวันออกกลางของตน ซึ่งรวมถึงกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ และกลุ่มนักรบชาวอิรักที่สนับสนุนเตหะราน
หลังจากที่กลุ่มฮามาสบุกโจมตีอิสราเอลครั้งใหญ่ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,400 คน ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน เมื่อวันที่ 7 ที่ผ่านมา นับแต่นั้นอิสราเอลก็ปูพรมถล่มฉนวนกาซาทั้งทางอากาศและการระดมยิงด้วยจรวดและปืนใหญ่ ทำให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตกว่า 2,800 คน นอกจากนั้น กองทัพอิสราเอลยังออกคำสั่งให้ประชาชนในกาซาต้องรีบอพยพจากตอนเหนือไปยังตอนใต้ของกาซา ซึ่งหมายถึงประชาชนราวครึ่งหนึ่งของทั้งหมด 2.3 ล้านคนในฉนวนกาซาต้องทิ้งบ้านเรือน ในสภาพที่ไปตายเอาดาบหน้า นอกจากนั้น อิสราเอลยังประกาศปิดกั้นกาซาแบบเบ็ดเสร็จ ขัดขวางการส่งอาหาร เชื้อเพลิง ยาและอุปกรณ์การแพทย์เข้าสู่กาซา รวมทั้งไม่ได้หยุดถล่มโจมตีกาซาไม่ว่าในบริเวณตอนเหนือหรือตอนใต้
ด้านเนทันยาฮูประกาศในรัฐสภาอิสราเอลเมื่อวันจันทร์เตือนอิหร่านและฮิซบอลเลาะห์ไม่ให้ท้าทายอิสราเอลทางด้านเหนือ และสำทับว่า อย่าทำพลาดเหมือนที่แล้วมา เพราะจะต้องจ่ายหนักขึ้น
ทางฝั่งฮามาสนั้น คอลิด เมชาล ผู้นำระดับสูง ประกาศเมื่อวันจันทร์ว่า ฮามาสมีสิ่งที่ต้องการแล้วสำหรับการปล่อยตัวนักโทษปาเลสไตน์ที่อิสราเอลคุมขังอยู่ทั้งหมด บ่งชี้ว่า นักรบอิสลามิสต์กลุ่มนี้พยายามใช้ตัวประกัน 199 คนที่จับจากอิสราเอลมาเป็นข้อแลกเปลี่ยน โดยหลังจากนั้นไม่นาน ฝ่ายกองกำลังติดอาวุธของฮามาสแถลงว่า ตัวประกันที่ไม่ใช่คนอิสราเอลถือเป็นแขกของฮามาสซึ่งจะได้รับการปล่อยตัวเมื่อสถานการณ์เอื้ออำนวย
(ที่มา : เอเอฟพี, รอยเตอร์, เอพี)