ราคาน้ำมันขึ้นอีก 1 ดอลลาร์ในวันอังคาร (5 ก.ย.) แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน หลังซาอุดีอาระเบียและรัสเซีย ขยายกรอบเวลาสมัครใจลดกำลังผลิตไปจนถึงสิ้นปี ส่วนวอลล์สตรีทปิดลบและทองคำแตะระดับต่ำสุดในรอบสัปดาห์ นักลงทุนประเมินแนวโน้มเส้นทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 1.14 ดอลลาร์ ปิดที่ 86.69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 1.04 ดอลลาร์ ปิดที่ 90.04 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีก่อน ทั้ง 2 สัญญา
พวกนักลงทุนคาดหมายว่าซาอุดีอาระเบียและรัสเซียจะขยายกรอบเวลาการลดกำลังผลิตโดยสมัครใจจนถึงเดือนตุลาคม ดังนั้นความเคลื่อนไหวขยายกรอบเวลาไปจนถึงสิ้นปีจึงเป็นสิ่งที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้ และปัจจัยนี้เองผลักให้ราคาน้ำมันขยับขึ้นต่อเนื่อง
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบในวันอังคาร (5 ก.ย.) ท่ามกลางการปรับตัวขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอเมริกาและราคาน้ำมัน ในขณะที่นักลงทุนประเมินแนวโน้มเส้นทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด
ดาวโจนส์ ลดลง 195.74 จุด (0.56 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 34,641.97 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 18.94 จุด (0.42 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,496.83 จุด แนสแดค ลดลง 10.86 จุด (0.08 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 14,020.95 จุด
ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ดีดตัวขึ้น หลังข้อมูลเศรษฐกิจเผยให้เห็นว่าเศรษฐกิจของอเมริกามีความยืดหยุ่น และคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ หนึ่งในผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ บ่งชี้ว่าเฟดมีความจำเป็นต้องไม่เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในเร็ววันนี้
ด้วยราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯ ขยับขึ้นต่อเนื่องในวันอังคาร (5 ก.ย.) นักวิเคราะห์เน้นย้ำว่าการดีดตัวขึ้นของราคาน้ำมันในช่วงไม่นานที่ผ่านมา ได้กัดเซาะความพยายามของเฟดในการฉุดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับเป้าหมาย 2%
ส่วนราคาทองคำในวันอังคาร (5 ก.ย.) แตะระดับต่ำสุดในรอบสัปดาห์ หลังดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจากข้อมูลเศรษฐกิจโลกในแง่ลบ โดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 14.50 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,952.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์
(ที่มา : รอยเตอร์)