บรรดานักลงทุนภายในของไทยเข้าช้อนซื้อ ดันตลาดหุ้นไทยฟื้นตัว วางเดิมพันว่าภาวะทางตันทางการเมืองที่ยืดเยื้อมานานหลายเดือนจะคลี่คลายเร็วๆ นี้ หลังจากพรรคเพื่อไทยตัดขาดพรรคก้าวไกล ก้าวขึ้นมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ตามรายงานของสำนักข่าวบลูมเบิร์กเมื่อวันจันทร์ (7 ส.ค.)
บลูมเบิร์กรายงานอ้างอิงนักวิเคราะห์ ระบุว่าตลาดหลักทรัพย์ของไทยขยับขึ้นมามากกว่า 4% จากระดับของวันที่ 28 มิถุนายน แม้รัฐบาลชุดใหม่อาจต้องขยายเวลาในการเข้ารับตำแหน่งออกไป อย่างไรก็ตามตลาดหลักทรัพย์ของไทยยังคงเป็นตลาดที่มีผลงานแย่ที่สุดในเอเชียในปีนี้
รายงานข่าวของบลูมเบิร์กระบุว่า การดีดตัวขึ้นบ่งชี้ว่าบรรดานักลงทุนในไทยคาดหมายว่าจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้เสียที ตามหลังการทะเลาะถกเถียงกันมานานหลายเดือน ระหว่างพรรคฝักใฝ่ประชาธิปไตยกับวุฒิสภาที่ได้รับการแต่งตั้งจากทหาร ทั้งนี้กองทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยไปกว่า 3,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 128,000 ล้านบาท) ในปีนี้ แม้พวกนักเศรษฐศาสตร์ประมาณการว่าเศรษฐกิจจะเติบโตเป็นปีที่ 3 และการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวขาเข้า
ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้ความเห็นผ่านบลูมเบิร์กว่า "นักลงทุนมีความเข้าใจดีเกี่ยวกับการเมืองท้องถิ่น ด้วยที่พวกเขาเคยเผชิญวิกฤตเลวร้ายกว่านี้มากในอดีต ดังนั้น มันจึงเปิดโอกาสให้พวกเขาเข้าซื้อ ส่วนนักลงทุนต่างชาติจะยังคงหลีกตัวออกห่างจากหุ้นไทยไปจนกว่าจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับรัฐบาลใหม่"
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งคว้าเก้าอี้ได้มากที่สุดในศึกเลือกตั้งเดือนพฤษภาคม ต้องประสบความล้มเหลวในการจัดตั้งรัฐบาล สืบเนื่องจากนโยบายหาเสียงของเขาบางส่วน ในนั้นรวมถึงการแก้กฎหมายหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่งผลให้พรรคเพื่อไทยที่มีความเชื่อมโยงกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตผู้นำที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เวลานี้ก้าวเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลแทน
จากข้อมูลที่รวบรวมโดยสำนักข่าวบลูมเบิร์ก พบว่านานกว่า 2 เดือนนับตั้งแต่มีการเลือกตั้ง นักลงทุนไทยและกองทุนในประเทศเพิ่มการซื้อหุ้นสุทธิ 57,000 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดการซื้อรวมตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 129,000 ล้านบาท ส่วนกองทุนต่างประเทศเทขายหุ้นไทยไปสุทธิ 1,670 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 58,000 ล้านบาท) ในช่วงเวลาเดียวกัน
บลูมเบิร์กรายงานว่า พันธมิตรที่นำโดยพรรคเพื่อไทย แม้ปราศจากพรรคก้าวไกล จะถูกมองในแง่บวกจากบรรดานักลงทุน สืบเนื่องจากข้อเสนอนโยบายต่างๆ อย่างเช่นแจกเงินสดและปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ อ้างอิงจากความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์ของซิตีกรุ๊ป ในรายงานฉบับหนึ่งเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม
รายงานของบลูมเบิร์กระบุว่า มีการจัดตั้งรัฐบาลต้องล่าช้าออกไป แต่ไทยยังเป็นเศรษฐกิจหลักแห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อยู่บนเส้นทางของการเติบโตในปีนี้มากกว่าปี 2022 แนวโน้มการเติบโตที่มากขึ้นของประเทศ ได้ปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจากต่างแดน เช่นเดียวกับการบริโภคภาคเอกชนที่แข็งแกร่ง อ้างอิงข้อมูลจากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือฟิทช์ เรตติ้ง
ทั้งนี้ บลูมเบิร์กระบุว่า ผลงานการส่งออกที่ดีขึ้นและนักท่องเที่ยวขาเข้า ทำให้ได้เห็นบัญชีเดินสะพัดของประเทศเกินดุลเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน ในเดือนมิถุนายน
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก อ้างคำกล่าวของนายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ระบุว่า นอกเหนือจากการไหลบ่าเข้ามาของนักท่องเที่ยวนานาชาติแล้ว นักลงทุนต่างแดนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจเช่นกัน ทั้งนี้ นักลงทุนจากต่างแดน ในนั้นรวมถึงบรรดาผู้ผลิตจากจีน ได้เพิ่มการใช้จ่ายในไทยและชาติอาเซียนอื่นๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทาน
"ไทยน่าจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มทางเศรษฐกิจและการเมืองที่มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ด้วยรัฐบาลใหม่ที่คาดหมายว่าจะจัดตั้งขึ้น จะสนับสนุนนโยบายต่างๆ ที่เป็นมิตรกับตลาด" บลูมเบิร์กอ้างคำสัมภาษณ์ของนายรัฐศักดิ์ พิริยะอนนท์ นักวิเคราะห์จาก บล.กสิกรไทยกล่าว "เพราะฉะนั้น ตลาดหลักทรัพย์ของไทยจะยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง"
(ที่มา : บลูมเบิร์ก)