สำนักข่าวเอ็นบีซีนิวส์ รายงาน บรรดาเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เมื่อวันพุธ (21 มิ.ย.) ต่างไม่ทันตั้งตัวครั้งที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เรียก สี จิ้นผิง ผู้นำจีนว่าเป็น "เผด็จการ" ไม่ถึง 24 ชั่วโมง หลังจาก แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกาเดินทางเยือนปักกิ่ง พูดคุยหารือคลี่คลายความสัมพันธ์อันตึงเครียดระหว่าง 2 ชาติ และได้ชี้แจงทำความเข้าใจกับฝ่ายจีนในเรื่องดังกล่าวแล้ว
เอ็นบีซีนิวส์ สื่อมวลชนสหรัฐฯ ระบุว่า พวกเจ้าหน้าที่หาทางชี้แจงกับฝ่ายจีนอย่างลับๆ ในวันพุธ (21 มิ.ย.) โดยอธิบายว่าคำจำกัดความที่ไบเดนเรียกสีนั้น ไม่ได้สะท้อนประเด็นถกเถียงใหม่หรือการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายอย่างเป็นทางการของรัฐบาลอเมริกา พร้อมคาดหมายด้วยว่าประเด็นถกเถียงนี้จะไม่กลายเป็นตัวฉุดรั้งสำคัญต่อความคืบหน้าใดๆ ระหว่างการเดินทางเยือนจีนของบลิงเคน
"มันไม่ควรเป็นเรื่องน่าประหลาดใจเท่าไหร่ที่ท่านประธานาธิบดีพูดอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับจีนและความเห็นต่างที่เรามี แน่นอนว่าเราไม่ได้พูดอย่างตรงไปตรงมาแต่เพียงฝ่ายเดียวในเรื่องนี้" เจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลสหรัฐฯ บอกกับเอ็นบีซีนิวส์ในวันพุธ (21 มิ.ย.) "ท่านประธานาธิบดีเชื่อว่าการทูต ในนั้นรวมถึงที่ดำเนินการโดยรัฐมนตรีบลิงเคน คือหนทางที่รับผิดชอบในการบริหารจัดการความตึงเครียด รัฐมนตรีบลิงเคนมีการเดินทางเยือนที่ดีและมีความคืบหน้าบางอย่าง เราคาดหมายไว้อย่างยิ่งว่าจะสานต่อความก้าวหน้านั้น"
ระหว่างงานระดมทุนหาเสียงเลือกตั้งในแคลิฟอร์เนียเมื่อคืนวันอังคาร (20 มิ.ย.) ไบเดน อยู่ดีๆ ก็เลือกที่จะกล่าวถึง สี จิ้นผิง พาดพิงกรณีที่กองทัพสหรัฐฯ สอยร่วงบอลลูนสอดแนมของจีนเมื่อช่วงต้นปี ซึ่งถือเป็นการฟื้นฝอยข้อพิพาทที่ บลิงเคน เอ่ยเมื่อวันจันทร์ (19 มิ.ย.) ว่า "ควรจะจบได้แล้ว"
"สี จิ้นผิง โกรธเอามากๆ ตอนที่ผมสั่งยิงบอลลูนที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์สอดแนม ก็เพราะว่าเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันอยู่ที่นั่น" ไบเดน กล่าวในงานระดมทุนที่รัฐแคลิฟอร์เนีย "มันเป็นเรื่องน่าอับอายมากสำหรับพวกผู้นำเผด็จการเมื่อพวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง บอลลูนนั่นไม่ควรที่จะมุ่งมาทางนี้ มันถูกพัดลอยออกนอกเส้นทาง"
จีน แสดงปฏิกิริยาโกรธกริ้วต่อความเห็นดังกล่าวของ ไบเดน โดยเรียกมันว่าเป็นการล่วงละเมิดอย่างรุนแรงและไร้ความรับผิดชอบ
บลิงเคน ซึ่งพบปะกับ สี ในวันจันทร์ (19 มิ.ย.) ถูกมองว่ามีความคืบหน้าในความพยายามรื้อฟื้นการสื่อสารทางการทูตและเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และจีน แม้ว่าเขาถูกบอกปัดความพยายามกลับมาจัดตั้งการติดต่อทางการทูตระหว่างผู้นำกองทัพของทั้ง 2 ประเทศก็ตาม
เจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับสูงรายที่ 2 ให้ความเห็นในวันพุธ (21 มิ.ย.) ว่า บลิงเคน คุ้นเคยดีกับคำพูดที่ก่อประะเด็นถกเถียงของประธานาธิบดี และไม่ได้รู้สึกผิดหวังใดๆ และเจ้าหน้าที่รายหนี้บ่งชี้ด้วยว่าทางฝ่ายจีนเองก็ทราบดีระหว่างพูดคุยกับ บลิงเคน นานหลายชั่วโมง ว่าสหรัฐฯ ยังคงเห็นต่างกับพวกเขาในบางประเด็น แต่ 2 ชาติมหาอำนาจจะยังคงทำงานร่วมกับอีกฝ่ายในขอบเขตที่สามารถทำได้
ส่วนเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระดับสูงคนที่ 3 พยายามกลบกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่มีต่อคำพูดของไบเดน โดยอ้างว่าผู้นำรายนี้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับพวกเผด็จการทั่วๆ ไป ไม่ได้พาดพิงประธานาธิบดีจีนอย่างเจาะจง แต่เจ้าหน้าที่อีกคนบอกว่ามันชัดเจนว่าประธานาธิบดีไบเดน เรียกสี ว่าเป็นเผด็จการ
เป็นบางครั้งบางคราวที่ ไบเดน เลือกที่จะพูดความในใจอย่างเปิดเผยในประเด็นนโยบายต่างประเทศที่อ่อนไหว ในแนวทางที่ขัดแย้งกับนโยบายอย่างเป็นทางการของรัฐบาลของตนเอง ไม่เว้นแม้กระทั่งในตอนที่ทั่วโลกกำลังจับตามองเขาอย่างใกล้ชิด
ยกตัวอย่างเช่น ไบเดน เคยพูดหลายครั้งว่าสหรัฐฯ จะแทรกแซงทางทหารหากว่าจีนเคลื่อนไหวยกพลบุกไต้หวัน แต่จากนั้นไม่นาน บรรดาผู้ช่วยของเขาก็จะออกมาชี้แจงว่าความคิดเห็นของประธานาธิบดีรายนี้ไม่ได้เป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงในนโยบายระยะยาวของสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ในช่วงท้ายของการกล่าวปราศรัยในโปแลนด์ เกี่ยวกับสงครามในยูเครน ไบเดน ได้พูดถึงประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย โดยบอกว่า "เพื่อเห็นแก่พระเจ้า ชายคนนี้ไม่อาจอยู่ในอำนาจอีกต่อไป" แต่ต่อมาเจ้าหน้าที่รัฐบาลก็ต้องรุดออกมาชี้แจงในทันที โดยเน้นย้ำว่าความคิดเห็นแบบสดๆ ดังกล่าวไม่ได้มีเจตนาจะล้มล้างการปกครองของรัสเซีย
(ที่มา : เอ็นบีซีนิวส์)