ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน เร่งเร้าพันธมิตรเร่งส่งมอบความช่วยเหลือทางทหารเพิ่มเติม ก่อนที่บรรดารัฐมนตรีกลาโหมนาโต้จะประชุมกันในวันพุธ (15 ก.พ.) ในขณะที่รัสเซียจัดหนักทิ้งระเบิดถล่มแนวหน้าทางตะวันตก ในสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นการระดมยิงชุดแรกๆ ของปฏิบัติการโจมตีครั้งใหญ่รอบใหม่
การระดมโจมตีด้วยปืนใหญ่ของรัสเซีย ส่วนใหญ่แล้วมุ่งเน้นไปที่เมืองบัคมุต ในแคว้นโดเนตสก์ ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ขณะที่ทหารยูเครนในเมืองแห่งนี้ประจำการตามฐานที่มั่นต่างๆ ที่มีการเสริมแนวป้องกัน ท่ามกลางความคาดหมายว่าอาจมีการสู้รบบนท้องถนน
การยึดครองบัคมุตจะเปิดทางให้รัสเซียรุกคืบเข้าหา 2 เมืองที่ใหญ่กว่าในแคว้นโดเนตสก์ ได้แก่ ครามาตอร์สก์และสโลเวียนสก์ และมอบแรงขับแก่มอสโก หลังจากช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ประสบความปราชัยในหลายสมรภูมิ ตามหลังเปิดฉากรุกรานเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีก่อน
บรรดารัฐมนตรีกลาโหมของนาโต้กำลังพบปะกันในบรัสเซลส์ เพื่อหารือกันเกี่ยวกับสงครามและคลังอาวุธ และเซเลนสกี บอกว่ารัสเซียกำลังเร่งรีบบรรลุเป้าหมายให้ได้มากที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ในปฏิบัติการจู่โจมรอบล่าสุด ก่อนหน้ายูเครนและพันธมิตรจะเสริมความเข้มแข็ง
"นี่คือเหตุผลว่าทำไม การเร่งรีบเป็นสิ่งจำเป็น" เขากล่าวปราศรัยผ่านวิดีโอในช่วงเย็น "ต้องเร่งรีบในทุกสิ่งอย่าง ทั้งการพิจารณา การตัดสินใจ การส่งออกเสบียงอาวุธ การฝึกฝน เร่งรีบปกป้องชีวิตผู้คน เร่งรีบทวงความมั่นคงคืนกลับมา และผมคิดว่าพันธมิตรของเราทุกฝ่ายตระหนักดีกว่าความรวดเร็วนั้นมีความสำคัญ"
อย่างไรก็ตาม เสียงวิงวอนนี้มีขึ้นในขณะที่มีข้อมูลว่ายูเครนกำลังใช้กระสุนหมดไปอย่างรวดเร็ว เกินกว่าที่ตะวันตกสามารถผลิตได้เป็นอย่างมาก
ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ คาดหมายว่ายูเครนจะเปิดฉากจู่โจมตีโต้กลับรัสเซีย ได้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และพันธมิตรของเคียฟ กำลังดำเนินการเพื่อรับประกันว่าเคียฟจะมียานเกราะ แสนยานุภาพการยิงและโลจิสติกส์เพียงพอที่จะทำให้ปฏิบัติการตีโต้กลับเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ด้าน เยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการนาโต้ เชื่อว่าประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย "กำลังเตรียมการสำหรับทำสงครามเพิ่มเติม สำหรับการจู่โจมครั้งใหญ่ระลอกใหม่และการโจมตีระลอกใหม่"
ในขณะที่วาระครบรอบ 1 ปีการรุกรานยูเครนของรัสเซียใกล้เข้ามา ทางเครมลินยกระดับปฏิบัติการเข้มข้นขึ้นทั่วพื้นที่อันกว้างขวางทางภาคใต้และภาคตะวันออกของยูเครน โดยที่ปฏิบัติการจู่โจมครั้งใหญ่รอบใหม่ครั้งนี้ เป็นไปตามที่คาดหมายกันไว้ในวงกว้าง
รายงานของเสนาธิการทหารแห่งกองทัพยูเครนที่เผยแพร่ในช่วงเย็น ระบุว่ากองกำลังรัสเซียยิงปืนครกและปืนใหญ่เข้าใส่เมืองและหมู่บ้านต่างๆ มากกว่า 20 แห่ง ในบัคมุต ในส่วนที่อยู่ในแนวหน้า ในนั้นรวมถึงตัวเมืองเอง นอกจากนี้ มอสโกยังยิงขีปนาวุธโจมตีเมืองอุตสาหกรรม อย่างเมืองคอสเทียนทีนิฟกา (Kostyantynivka) และเมืองครามาตอร์สก์ ในแคว้นโดเนสตก์ ด้วยเช่นกัน
จอห์น เคอร์บี โฆษกทำเนียบขาวยอมรับว่ากองกำลังรัสเซียมีความคืบหน้าเพิ่มมากขึ้นในการจู่โจมเมืองบัคมุต หลังจากก่อนหน้านี้เมื่อวันอังคาร (14 ก.พ.) สหราชอาณาจักรเผยว่าพวกทหารรับจ้างของกลุ่มวากเนอร์ หัวหอกในปฏิบัติการโจมตีบัคมุตของรัสเซีย มีความคืบหน้าเล็กน้อยในแถบชานเมืองทางเหนือของบัคมุตในช่วง 3 วันที่ผ่านมา
นอกเหนือจากคำสัญญามอบรถถังเมื่อเดือนที่แล้ว ยูเครนยังดิ้นรนร้องขอเครื่องบินขับไล่และขีปนาวุธพิสัยไกลกว่าเดิม ในการสกัดการจู่โจมครั้งใหญ่ของรัสเซีย และเปลี่ยนกระแสสงครามที่หันเหออกจากมอสโก ชาติที่มีแสนยานุภาพด้านการทหารที่เหนือกว่ามาก
อย่างไรก็ตาม เยอรมนีดูเหมือนจะดับความหวังของเคียฟ สำหรับเครื่องบินรบ หลังกระทรวงกลาโหมของพวกเขา เปิดเผยว่า ณ เวลานี้ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การจัดหาเครื่องบินแก่ยูเครน แม้บอกว่าจะมีการพูดคุยในเรื่องนี้อย่างไม่ต้องสงสัยในอนาคต
เจ้าหน้าที่ยูเครนอ้างว่ารัสเซียประสบความสูญเสียอย่างหนักรอบๆ เมืองวูห์เลดาร์ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมืองบัคมุต ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ราว 150 กิโลเมตร ในนั้นรวมถึงรถถัง ยานเกราะและกำลังพล อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์ไม่ยืนยันคำกล่าวอ้างดังกล่าว
ในแนวหน้าที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ระหว่างเมืองวูห์เลดาร์และเมืองมารินดา ห่างออกไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 30 กิโลเมตร และห่างจากฐานที่มั่นของรัสเซีย 400 เมตร เจ้าหน้าที่ 2 คนเปิดเผยว่ากองกำลังเคียฟกำลังยืนหยัดตั้งรับอย่างหนักแน่นต่อการระดมโจมตีอย่างหนักหน่วงด้วยปืนใหญ่และปืนครกจากฝ่ายรัสเซีย
เวลานี้รัสเซียยึดครองพื้นที่อันกว้างขวางของแคว้นเคียร์ซอนและแคว้นซาโปริซเซีย ทางภาคใต้ของประเทศ ในนั้นรวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ เช่นเดียวกับเกือบทุกพื้นที่ของแคว้นลูฮันสก์ และกว่าครึ่งของแคว้นโดเนตสก์ ในนั้นรวมถึงเมืองเอกของแคว้น
รายงานฉบับหนึ่งซึ่งสนับสนุนโดยสหรัฐฯ และเผยแพร่ในวันอังคาร (14 ก.พ.) ระบุว่ารัสเซียควบคุมตัวเด็กชาวยูเครนไว้อย่างน้อย 6,000 คน ตามสถานที่ต่างๆ ในแคว้นไครเมีย และบอกว่าจุดประสงค์หลักของรัสเซียดูเหมือนจะป้อนความรู้ใหม่ทางการเมืองแก่เด็กเหล่านี้
(ที่มา : รอยเตอร์)