(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
China: the strong bullish case for 2023
By UWE PARPART
12/01/2023
ในช่วงเวลาไม่นานมานี้ มีกลุ่มนักลงทุนสถาบันจำนวนมากพากันปรับเพิ่มการคาดการณ์อัตราเติบโตของจีนในปีนี้จากระดับราวๆ 4% ให้เป็นมากกว่า 5% อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากการที่ปักกิ่งวางตัว หลี่ เฉียง ให้เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ และการปรับเปลี่ยนนโยบายซึ่งกำลังดำเนินการกันอยู่อย่างคึกคักโดยเน้นไปที่การเร่งรัดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ จีดีพีของแดนมังกรในปี 2023 นี้ เป็นไปได้ที่จะพุ่งกระฉูดในอัตรา 7-8% ทีเดียว
ฮ่องกง - สำนักงานบริหารการลงทุนระดับโลกจำนวนมากพากันอัปเกรดคำทำนายอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2023 ของพวกเขาให้สูงขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ จากระดับแถวๆ 4% เป็นเกินกว่า 5% เราเชื่อว่านี่ยังคงอนุรักษนิยมเกินไปเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้สูงยิ่งที่จะเกิด “อัตราเติบโตชนิดพุ่งกระฉูดระเบิดระเบ้อ” (ถ้าหากจะหยิบยืมถ้อยคำของนักลงทุนเน้นจีนซึ่งตั้งฐานอยู่ที่ฮ่องกงและมีประสบการณ์มากที่สุดคนหนึ่งมาใช้) ในระดับ 7-8% ขณะที่คลื่นโรคโควิดระลอกปัจจุบันถดถอยลงไปแล้ว
เหตุผลพื้นฐานที่สนับสนุนความคิดเห็นเช่นนี้ เป็นสิ่งที่เราได้เขียนและเน้นย้ำไปในหลายๆ โอกาสแล้ว นับตั้งแต่ช่วงก่อนหน้าการประชุมสมัชชา 20 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นต้นมา ซึ่งก็คือ –ตรงกันข้ามกับ “การรายงานข่าว” ที่เป็นไปอย่างมีอคติและขาดความรู้ความเข้าใจของพวกสื่อมวลชนตะวันตก— สมัยที่ 3 แห่งการดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคของสี จิ้นผิง จะไม่ใช่มีคุณลักษณะโดดเด่นที่เป็นการควบคุมเศรษฐกิจให้กระชับแน่นหนายิ่งขึ้นไปอีก ตลอดจนการกำราบลงโทษความริเริ่มของภาคเอกชน โดยฝีมือของกลุ่มผู้จงรักภักดีต่อ สี ที่เกาะกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่นมั่นคง และ สี เป็นผู้คัดสรรขึ้นมาด้วยตนเอง แต่มันจะเป็นไปในทางตรงกันข้ามแบบสุดๆ ต่างหาก
สำหรับผู้สังเกตการณ์คนไหนก็ตามทีที่จิตใจไม่คับแคบแล้ว ย่อมสามารถมองเห็นและสมควรมองเห็นได้อย่างชัดเจนตั้งแต่นาทีที่ หลี่ เฉียง (Li Qiang) เลขาธิการพรรคประจำมหานครเซี่ยงไฮ้ เดินออกมาในตำแหน่งอันดับ 2 ตามหลัง สี เท่านั้น เมื่อตอนมีการเปิดตัวคณะประจำของคณะกรรมการกรมการเมือง แห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดใหม่ ในตอนปิดท้ายสมัชชาพรรคคราวนี้
หลี่ ผู้ซึ่งอาชีพทางการเมืองของเขาเริ่มต้นที่เมืองเวินโจว (Wenzhou) ที่เป็นฐานที่มั่นอันเข้มแข็งน่าภาคภูมิใจของบรรดาวิสาหกิจเสรีในมณฑลเจ้อเจียง คือผู้ที่เปิดตลาด “สตาร์มาร์เก็ต” (STAR market) ตลาดหุ้นแห่งใหม่เน้นบริษัทด้านเทคโนโลยี ของตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ (Shanghai Stock Exchange) และเป็นผู้ที่ช่วยเหลือ อีลอน มัสก์ ในการสร้างอัครอภิมหาโรงงานของเทสลา (Tesla Gigafactory) ขึ้นในเซี่ยงไฮ้ได้อย่างรวดเร็วเป็นประวัติการณ์ ระหว่างที่เขาครองอำนาจอยู่ในมหานครใหญ่ของจีนแห่งนั้น นี่เป็นเพียงการหยิบยก 2 ตัวอย่างความริเริ่มที่โดดเด่นสะดุดตาของ หลี่ เฉียง ผู้นี้
ใช่ครับ หลี่ เป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อ สี เขาทำงานให้กับ สี มาตั้งแต่อยู่ที่เจ้อเจียงแล้ว แต่ทำไม สี จะต้องหยิบเอาผู้จงรักภักดีที่มีคุณสมบัติอย่าง หลี่ มาเป็นนายกรัฐมนตรีของเขาที่จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องเศรษฐกิจล่ะ ถ้าหากเขาต้องการเดินหน้านโยบายต่างๆ ซึ่งเป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามอย่างที่รายงานข่าวของฝ่ายตะวันตกพูดกัน มันช่างเป็น “บทวิเคราะห์” ที่ขัดแย้งกันเองอยู่ในตัว ซึ่งมีแต่พวกที่ต้องคอยปรับตัวเพื่อประจบเอาใจวอชิงตันที่มุ่งหน้าเชื่อแต่เฉพาะความคิดเห็นของตนเองเท่านั้น จึงจะสามารถผลิตออกมาได้
นับตั้งแต่ที่ หลี่ ได้รับมอบหมายให้เข้าเทกโอเวอร์เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ซึ่งจะเกิดขึ้นในการประชุมเต็มคณะของสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติของจีนเดือนมีนาคมนี้ ทั้งกรมการเมืองที่ถือเป็นองค์กรตัดสินใจระดับบนสุด และทั้งหน่วยงานรัฐบาลทั้งหลายทั้งปวง ต่างชี้ทิศทางให้เห็นอย่างเตะตาถนัดๆ ว่ามุ่งหน้าไปสู่เศรษฐกิจซึ่งเน้นการเติบโตขยายตัวอย่างเข้มแข็ง นำโดยเทคโนโลยีระดับสูง ขับดันโดยภาคการบริโภค และได้รับความสนับสนุนทางนโยบายจากภาคการเงิน
สื่อบลูมเบิร์ก (Bloomberg) อ้างความคิดเห็นของ หง เฮ่า (Hong Hao) อดีตหัวหน้าฝ่ายวิจัยของ โบคอม อินเตอร์เนชั่นแนล (Bocom International) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพวก “หมี” ในเรื่องจีน (China bear) ผู้ปากกล้า ที่ชี้ว่า มีแต่ “การปรับเปลี่ยนทางด้านนโยบายเรียกได้ว่าในทุกๆ เซกเตอร์ทีเดียว” แน่นอนทีเดียว เรื่องนี้ย่อมรวมไปถึงการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงทางนโยบายอย่างแรงๆ ประการแรกสุดและสำคัญที่สุด ด้วยการโละทิ้งนโยบาย “โควิดต้องเป็นศูนย์” ที่ใช้กันอยู่ตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
จุดสำคัญที่ควรต้องระลึกกันก็คือ หลี่ เป็นผู้ที่คัดค้านการใช้มาตรการล็อกดาวน์เซี่ยงไฮ้ อย่างเข้มงวดดุเดือดมากในเดือนเมษายน 2022 จนกระทั่งเร่งรัดให้ปักกิ่งต้องจัดส่ง “สตรีเหล็ก” ซุน ชูหลาน (Sun Chunlan) รองนายกรัฐมนตรีและสมาชิกคณะกรรมการกรมการเมืองพรรคไปที่เซี่ยงไฮ้ เพื่อรับผิดชอบทำเรื่องล็อกดาวน์นี้ให้สำเร็จ
สิ่งที่เกิดขึ้นคราวนั้น ส่งผลให้พวกผู้สังเกตการณ์ฝ่ายตะวันตกจำนวนมากรีบขีดฆ่าชื่อของ หลี่ ทิ้งไป ว่าจะไม่ได้ขึ้นเป็นสมาชิกของคณะประจำของกรมการเมืองชุดใหม่ที่จะมีการแต่งตั้งกันในอีกไม่กี่เดือนถัดไปหรอก แต่แล้วปรากฏว่าในที่ประชุมสมัชชา 20 ซุนเป็นหนึ่งในผู้นำที่หลุดจากคณะกรรมการกรมการเมืองและเกษียณอายุ ส่วน หลี่ กำลังจะขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าของคณะรัฐบาลชุดใหม่
อย่างที่เรารายงานเอาไว้เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน นั่นคือ ตั้งแต่ก่อนหน้าสมัชชา 20 แล้วด้วยซ้ำไป คณะผู้นำจีนก็บรรลุการตัดสินใจที่จะโยนทิ้งนโยบายโควิดเป็นศูนย์ และต่อจากนี้ไปจะถือโรคนี้ว่าเป็นโรคประจำถิ่น (endemic) ไม่ใช่โรคระบาดร้ายแรงที่กระจายไปทั่ว (pandemic) อีกต่อไป
แน่นอนทีเดียว การประท้วงที่เกิดขึ้นมาตามเมืองใหญ่ต่างๆ เป็นตัวเร่งให้เกิดการปรับเปลี่ยนทางนโยบายนี้ ทว่ามันก็เป็นที่แจ่มแจ้งชัดเจนว่า สี ได้ข้อสรุปอยู่แล้วว่านโยบายโควิดเป็นศูนย์นั้นเข้ากันไม่ได้กับความจำเป็นที่จะต้องเร่งรัดการเติบโตทางเศรษฐกิจ และได้ตัดสินใจที่จะเคลื่อนไหวอย่างแรงๆ เพื่อตัดทิ้งปมปัญหาอันยุ่งเหยิงนี้แบบเฉียบขาด
มันเป็นการตัดสินใจที่มีความเสี่ยงสูง แต่ก็ไม่มีทางเลือกที่สามารถใช้ปฏิบัติได้อย่างอื่นๆ อีกแล้ว และโอกาสก็กำลังเปิดขึ้นมาสำหรับการเดินหน้าสู่การสร้างภูมิคุ้มกันรวมหมู่โดยอาศัยตัวกลายพันธุ์โอมิครอนของเชื้อโรคโควิด ซึ่งติดต่อได้ง่ายขึ้นมากแต่มีพิษรุนแรงลดน้อยลง
สำหรับการปรับเปลี่ยนนโยบายไปสู่อัตราการเติบโตที่รวดเร็วยิ่งขึ้นในหลายๆ ด้าน เราจะขอยกตัวอย่างแค่เฉพาะสิ่งที่มองเห็นกันได้อย่างชัดเจนและมีผลกระทบมากเพียงบางอย่างบางประการ ดังนี้:
1.กัว ซู่ชิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ของธนาคารประชาชนจีน (People’s Bank of China หรือ PBoC แบงก์ชาติของจีน) บอกกับสำนักข่าวซินหัวเมื่อวันที่ 7 มกราคมว่า การลงโทษปราบปรามการดำเนินงานและแพลตฟอร์มฟินเทค (fintech เทคโนโลยีทางการเงิน) ของพวกบริษัทอินเทอร์เน็ตหลักๆ 14 แห่ง “โดยพื้นฐาน” ได้ยุติลงแล้ว “ถัดจากนี้ เราจะส่งเสริมการพัฒนาอย่างมีสุขภาวะของพวกแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ต ... เราจะสนับสนุนพวกเขาให้ก้าวออกมาอย่างแข็งแรงในการนำพาการเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างตำแหน่งงานเพิ่มมากขึ้น และแข่งขันในระดับโลก” กัว บอก – และบางทีมันอาจจะไม่ใช่อุบัติเหตุเลย เมื่อปรากฏว่าในวันเดียวกันนี้ แจ๊ก หม่า ของอาลีบาบา ประกาศว่า เขากำลังเพิกถอนอำนาจการควบคุม แอนต์ ไฟแนนเชียล (Ant Financial) กิจการฟินเทคในเครืออาลีบาบา
2.ธนาคารประชาชนจีนเพิ่งแถลงว่าจะทำอะไรก็ตามที่สามารถทำได้ (เหมือนๆ กับคำมั่นสัญญาอันมีชื่อเสียงของ มาริโอ ดรากี Mario Draghi เมื่อตอนที่เขาเป็นประธานธนาคารกลางยุโรป ที่บอกว่าจะทำอะไรก็ตามที่สามารถทำได้เพื่อรักษาสกุลเงินยูโร) เพื่อดำเนินนโยบายการเงินให้สนับสนุนการเยียวยารักษาตลาดอสังหาริมทรัพย์ และสนับสนุนการเติบโตของการบริโภคและการลงทุนโดยองค์รวม โดยที่อัตราเงินเฟ้อของจีนซึ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดที่ 2.8% เมื่อวัดแบบปีต่อปี ในเดือนกันยายน 2022 แล้ว ได้ถอยลงมาอยู่ที่ 1.6% ในเดือนพฤศจิกายน –นี่หมายความว่าเวลานี้ภาวะเงินฝืดกำลังเป็นภัยคุกคามมากกว่าเงินเฟ้อแล้ว จึงมีช่องทางอันกว้างขวางยิ่งสำหรับการผ่อนคลายทางการเงินจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับลูกค้าชั้นดีในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ที่ 3.65%
3.หลิว เหอ ซาร์ด้านเศรษฐกิจของจีนที่กำลังจะเกษียณอายุ ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบการแก้ไขปัญหาตลาดอสังหาริมทรัพย์ เขาคือผู้ที่มีเครดิตความน่าเชื่อถือและแรงสนับสนุนทางการเมืองที่จะทำเรื่องนี้ได้ยิ่งกว่าใครๆ
4.การมีพลังงานเชื้อเพลิงในระดับราคาที่สามารถแบกรับกันได้ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการให้พลังแก่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ จีนเวลานี้ได้เติมคลังสำรองของตนด้วยน้ำมันรัสเซียราคาถูกเอาไว้เป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นเวลานี้ปักกิ่งยังเพิ่งยกเลิกคำสั่งห้ามการนำเข้าถ่านหินออสเตรเลียที่ใช้มา 2 ปี
5.วันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา เป็นวันที่เปิดชายแดนระหว่างฮ่องกงกับจีนแผ่นดินใหญ่ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง นอกเหนือจากความปีติยินดีอย่างบริสุทธิ์ของการที่ครอบครัวจะได้กลับมารวมกันอีกคำรบหนึ่งหลังจากติดมาตรการควบคุมโรคโควิดมา 3 ปีแล้ว การไหลเวียนข้ามพรมแดนของผู้คนและสินค้าต่างๆ เช่นนี้ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญยิ่งยวดสำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจฮ่องกงและเศรษฐกิจมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่สร้างผลผลิตได้ดีที่สุดของจีน เคียงข้างกับเซี่ยงไฮ้
พิจารณาจากภาพรวมแล้ว มีพัฒนาการ 2 ประการที่ปรากฏให้เห็นอย่างโดดเด่นมาก ประการแรก การประชุมกิจการงานเศรษฐกิจส่วนกลาง (Central Economic Work Conference) ในเดือนธันวาคม 2022 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการประชุมกำหนดนโยบายเศรษฐกิจสำหรับปี 2023 นั้น เรียกร้องให้ดำเนินนโยบายการเงินที่เป็นการสนับสนุนการเร่งอัตราการเติบโตขยายตัว นอกจากนั้นที่ประชุมยังออกมาเรียกร้องอย่างเปิดเผยให้ดำเนินการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างรวดเร็ว และสนับสนุนให้พวกวิสาหกิจแพลตฟอร์มออนไลน์แสดงบทบาทในการเติบโตทางเศรษฐกิจ
(การประชุมกิจการงานเศรษฐกิจส่วนกลาง Central Economic Work Conference
เป็นการประชุมประจำปีที่จัดขึ้นในสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อกำหนดวาระแห่งชาติสำหรับเศรษฐกิจองจีน และสำหรับภาคการเงินและภาคการธนาคารของจีน การประชุมนี้จัดขึ้นโดยคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์และคณะรัฐมนตรีจีน โดยเดินตามแนวคิดหลัก คำคีย์เวิร์ดสำคัญๆ ซึ่งกำหนดขึ้นโดยคณะประจำของคณะกรรมการกรมการเมืองพรรค ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Central_Economic_Work_Conference -ผู้แปล)
ประการที่สอง ภาคครัวเรือนของจีนได้สะสมเงินทองเอาไว้มากกว่า 2 ล้านล้านหยวน (295,000 ล้านดอลลาร์) ในรูปของเงินออมส่วนเกินเมื่อปี 2022 ซึ่งคาดหมายกันว่าจะเป็นตัวกระตุ้นการบริโภคได้อย่างแข็งแกร่ง
การยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่ก่อให้เกิดข้อจำกัด และการมีเงินออมที่ถูกเก็บเอาไว้เพื่อรอใช้จ่าย คือแรงขับดันการเติบโตขยายตัวที่ทรงพลัง ด้วยการแต่งตั้ง หลี่ เฉียง เข้าแทนที่ หลี่ เค่อเฉียง ผู้ถูกเปรียบเปรยว่าเป็นประทัดเปียกซึ่งไม่ได้ดังปึงปังเปรี้ยงปร้างอย่างที่คาดหวังกันไว้ ประธานาธิบดีสี จึงกำลังส่งสัญญาณที่ชัดเจนไม่สมควรอ่านผิดพลาดไปได้ว่าความสำคัญลำดับต้นๆ ในสมัยที่ 3 แห่งการดำรงตำแหน่งของเขาคืออะไรกันแน่