xs
xsm
sm
md
lg

เวิลด์แบงก์หั่นจีดีพีโลกปีนี้เหลือ 1.7% ส่อเค้าหลายประเทศต้องเจอภาวะถดถอย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ประธานธนาคารโลก เดวิด มัลพาสส์
เวิลด์แบงก์หั่นตัวเลขคาดการณ์อัตราเติบโตเศรษฐกิจโลกปีนี้ลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 30 ปี เท่ากับเป็นลางร้ายบอกกล่าวว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยสำหรับหลายประเทศ โดยเป็นผลสืบเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น สงครามยืดเยื้อในยูเครน และการที่เศรษฐกิจประเทศชั้นนำทั้งหลายต่างชะลอตัวรุนแรง

วันอังคารที่ผ่านมา (10 ม.ค.) ธนาคารโลกเผยแพร่รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกประจำปี 2023 โดยคาดการณ์อัตราเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของโลกปีนี้ ว่าอยู่ที่ 1.7% ถือว่าต่ำสุดนับจากปี 1993 ยกเว้นปี 2009 และ 2020 ซึ่งเศรษฐกิจโลกเผชิญภาวะถดถอยติดลบ ขณะเดียวกัน เป็นการปรับลดลงมาแรงทีเดียวของเวิลด์แบงก์ เมื่อเทียบกับที่คาดเอาไว้ตอนเดือนมิถุนายนปีที่แล้วว่าจะขยายตัวได้ 3%

สำหรับปี 2024 รายงานล่าสุดฉบับนี้ของเวิลด์แบงก์ทำนายว่า การเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะกลับฟื้นตัวขึ้นมาอยู่ที่ 2.7% แม้ว่ายังคงต่ำกว่าตัวเลขซึ่งคาดการณ์ไว้เมื่อกลางปีที่แล้ว 0.2% พร้อมกันนั้นยังระบุด้วยว่า ระหว่างปี 2020-2024 อัตราเติบโตของโลกโดยเฉลี่ยจะอยู่ในระดับไม่ถึง 2% ถือว่าต่ำสุดนับจากปี 1960

ธนาคารโลกบอกว่า การชะลอตัวรุนแรงในประเทศชั้นนำหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงอเมริกา และยูโรโซน ที่ถูกปรับลดตัวเลขคาดการณ์อัตราเติบโตอยู่ที่ 0.5% อาจเป็นลางร้ายชี้ว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งใหม่อีกรอบ หลังจากทิ้งช่วงไปไม่ถึง 3 ปีจากภาวะถดถอยครั้งก่อนหน้า

ทั้งนี้ รายงานของเวิลด์แบงก์ยังสำทับว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปราะบาง พัฒนาการแง่ลบใหม่ๆ เช่น อัตราเงินเฟ้อที่สูงเกินคาด การขึ้นดอกเบี้ยกะทันหันเพื่อสกัดเงินเฟ้อ การที่โควิดกลับมาระบาด หรือความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ อาจผลักดันให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย

แนวโน้มอึมครึมเหล่านี้จะส่งผลกระทบรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อประเทศกำลังพัฒนาและประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ที่แบกรับภาระหนี้ก้อนโต ค่าเงินอ่อนแอ การเติบโตของรายได้อยู่ในระดับต่ำ ตลอดจนการลงทุนภาคธุรกิจชะลอตัว โดยธนาคารโลกคาดว่า ประเทศเหล่านี้จะมีอัตราขยายตัวต่อปีแค่ประมาณ 3.5% ในช่วง 2 ปีหน้า หรือไม่ถึงครึ่งของเมื่อ 2 ทศวรรษที่แล้ว

เดวิด มัลพาสส์ ประธานธนาคารโลกแถลงว่า การเติบโตและการลงทุนภาคธุรกิจซึ่งต่างก็จะชะลอตัว จะซ้ำเติมปัญหาที่มีอยู่แล้วในเรื่องระบบการศึกษา สาธารณสุข ความยากจน และโครงสร้างพื้นฐาน

สำหรับประเทศจีน เวิลด์แบงก์บอกว่า อัตราเติบโตในปีที่ผ่านมาดิ่งลงอยู่ที่ 2.7% ต่ำสุดอันดับ 2 นับจากช่วงกลางทศวรรษ 1970 โดยเป็นรองปี 2020 เท่านั้น สืบเนื่องจากนโยบายโควิดเป็นศูนย์ วิกฤตตลาดอสังหาริมทรัพย์ และภาวะแห้งแล้งที่ส่งผลต่อการบริโภค การผลิต และการลงทุน

ในปีนี้ ธนาคารโลกคาดว่าการเติบโตของจีดีพีจีนจะฟื้นขึ้นมาอยู่ที่ 4.3% แต่ยังต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว 0.9% อันเป็นผลจากการชะงักงันรุนแรงจากสถานการณ์โควิด และความต้องการจากภายนอกซบเซาลง

เวิลด์แบงก์ตั้งข้อสังเกตว่า ในภาพรวมของทั่วโลก ความกดดันด้านเงินเฟ้อบางส่วนเริ่มลดลงในช่วงปลายปีที่แล้ว ขณะที่ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ก็ลดลง แต่รายงานนี้ยังคงเตือนว่ามีความเสี่ยงสูงที่อุปทานอาจหยุดชะงัก และอัตราเงินเฟ้อหลักยังคงค้างอยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ รับมือด้วยการขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่คาดไว้ปัจจุบัน และเศรษฐกิจโลกก็จะชะลอตัวแรงขึ้น

นอกจากนี้ ธนาคารโลกยังเรียกร้องให้นานาชาติเพิ่มการสนับสนุนเพื่อช่วยประเทศรายได้ต่ำรับมือกับวิกฤตอาหารและพลังงาน การที่ผู้คนต้องพลัดจากถิ่นฐานจากสถานการณ์ความขัดแย้ง และความเสี่ยงวิกฤตหนี้ที่เพิ่มขึ้น

รายงานฉบับนี้ออกมาขณะที่มีการคาดหมายว่า คณะกรรมการธนาคารโลกจะพิจารณาโรดแมปในการวิวัฒนาการใหม่สำหรับสถาบันโลกบาลแห่งนี้ เพื่อเพิ่มความสามารถในการปล่อยกู้สำหรับการรับมือวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและวิกฤตการณ์โลกอื่นๆ โดยตามแผนการนี้จะมีการเจรจากับพวกประเทศผู้ถือหุ้นที่นำโดยอเมริกา สำหรับการเปลี่ยนแปลงโมเดลธุรกิจของเวิลด์แบงก์ครั้งใหญ่ที่สุด นับจากก่อตั้งขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง

(ที่มา : รอยเตอร์)
กำลังโหลดความคิดเห็น