สหรัฐฯ เตรียมเพิ่มจำนวนขีปนาวุธต่อต้านเรือ (anti-ship missile capabilities) ในญี่ปุ่น โดยเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการเสริมเขี้ยวเล็บเพื่อรับมือและป้องปรามจีน
แม้จำนวนกำลังพลสหรัฐฯ ในญี่ปุ่นจะไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าการประกาศเสริมขีปนาวุธก็ถือเป็นหนึ่งในความเคลื่อนไหวแรกๆ ของกองกำลังสหรัฐฯ ในเอเชียปีนี้ และคาดว่าจะทำให้จีนต้อง “คิดหนัก” ขึ้นหากจะจุดชนวนความขัดแย้ง
ข้อตกลงระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ซึ่งใช้เวลาเจรจานานเกือบ 1 ปีเต็มคาดว่าจะถูกประกาศอย่างเป็นทางการในวันพุธ (11 ม.ค.) ภายหลังการประชุมร่วมระหว่าง ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ และรัฐมนตรีคู่เจรจาจากญี่ปุ่น ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
ออสติน มีกำหนดหารือกับ ยาสุคาซุ ฮามาดะ รัฐมนตรีกลาโหมญี่ปุ่น ที่ตึกเพนตากอนในวันพฤหัสบดี (12) จากนั้นจะตามมาด้วยการประชุมซัมมิตระหว่างประธานาธิบดี โจ ไบเดน และนายกรัฐมนตรี ฟูมิโอะ คิชิดะ ในวันศุกร์ (13)
ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากเมื่อเดือน ธ.ค. ญี่ปุ่นได้ประกาศเพิ่มงบเสริมสร้างกองทัพครั้งใหญ่ที่สุดในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายใต้แผน 5 ปี ที่แต่เดิมนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับชาติที่ใช้รัฐธรรมนูญฉบับใฝ่สันติอย่างญี่ปุ่น แต่ก็เกิดขึ้นแล้วสืบเนื่องจากความกังวลภัยคุกคามจีน
หวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ออกมาเตือนสหรัฐฯ และญี่ปุ่นวานนี้ (10) ให้ระวังอย่ากระทำการอันจะ “บ่อนทำลายผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลที่ 3 ตลอดจนสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค”
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ 3 คน ให้ข้อมูลกับรอยเตอร์ว่า ขีปนาวุธต่อต้านเรือจะถูกส่งไปประจำการในญี่ปุ่นภายใต้แผนยกเครื่องกองกำลังนาวิกโยธิน 2,000 นาย ที่จะเน้นภารกิจรวบรวมข่าวกรอง การสอดแนม และการลำเลียงกำลังพล โดยคาดว่าจะดำเนินการเสร็จสิ้นภายในปี 2025
แหล่งข่าวเผยด้วยว่า สหรัฐฯ เตรียมจะส่งทหารบกอีก 300 นาย และยานพาหนะอีก 13 คันเข้าไปประจำการที่ญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ผลิปีนี้ เพื่อช่วยสนับสนุนการลำเลียงกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ให้เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว
รัฐบาลญี่ปุ่นเฝ้ามองจีนยกระดับกิจกรรมทางทหารข่มขู่ไต้หวันด้วยความกังวล และแม้จะไม่ได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต แต่ไทเปและโตเกียวก็มีความสัมพันธ์ในระดับไม่เป็นทางการ และต่างมีความกังวลร่วมกันเกี่ยวกับการสยายอิทธิพลทางทหารของจีน
ที่มา : รอยเตอร์
