กองทหารมอสโกเพิ่มการใช้ปืนครกและปืนใหญ่ โดยเฉพาะจรวด ถล่มเป้าหมายในเมืองเคียร์ซอน ที่อยู่ทางภาคใต้ของยูเครน พร้อมกันนั้น ยังทวีการกดดันที่แนวรบทางภาคตะวันออกมากขึ้นเรื่อยๆ กองทัพเคียฟระบุในวันพุธ (28 ธ.ค.) ขณะที่รัสเซียตอบโต้ฝ่ายตะวันตกที่พยายามออกมาตรการจำกัดราคาจำหน่ายของน้ำมันแดนหมีขาว โดยประกาศงดขายให้แก่ประเทศที่ยอมกระทำตามแผนการดังกล่าว
ในวันอังคาร (27) ประธานาธิบวลาดิมีร์ ปูติน ได้สั่งการให้รัสเซียงดขายน้ำมันแก่ประเทศที่ปฏิบัติตามมาตรการจำกัดราคาจำหน่ายน้ำมันของแดนหมีขาวที่ฝ่ายตะวันตกประกาศและเริ่มบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 5 เดือนนี้
คำสั่งของปูตินที่เผยแพร่ทางพอร์ทัลของรัฐบาลรัสเซีย และเว็บไซต์ของวังเครมลิน ระบุว่า นี่เป็นการตอบโต้โดยตรงต่อการกระทำที่ไม่เป็นมิตรและขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศของอเมริกาและประเทศอื่นๆ รวมทั้งองค์กรระหว่างประเทศที่ร่วมกันจำกัดราคาขายน้ำมันของรัสเซีย
การจำกัดราคาขายน้ำมัน ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแม้ในช่วงสงครามเย็นระหว่างตะวันตกกับสหภาพโซเวียตนั้น มีเป้าหมายจะทำให้รัสเซียมีรายได้ลดน้อยลง กระทั่งส่งผลบ่อนทำลายความพยายามทางทหารของมอสโกในยูเครน แต่เวลาเดียวกัน ก็ไม่ถึงกับทำให้ตลาดปั่นป่วน ด้วยการปิดกั้นซัปพลายน้ำมันของรัสเซียโดยตรง
ตามมาตรการนี้ ผู้ค้าน้ำมันที่ต้องการรักษาสิทธิการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของตะวันตก ต้องให้สัญญาว่า จะไม่จ่ายค่าน้ำมันรัสเซียที่ขนส่งทางทะเลเกินบาร์เรลละ 60 ดอลลาร์ ซึ่งใกล้เคียงกับระดับราคาน้ำมันรัสเซียในปัจจุบัน แต่ต่ำกว่าราคาที่รัสเซียสามารถขายได้ในช่วงเวลาส่วนใหญ่ของรอบปีที่ผ่านมา โดยเห็นกันว่ารายรับจากน้ำมันและก๊าซที่สูงขึ้นดังกล่าว ทำให้เศรษฐกิจมอสโกยังเดินหน้าไปได้ แม้เจอมาตรการแซงก์ชันทางการเงินอย่างรุนแรงจากฝ่ายตะวันตก
สำหรับมาตรการตอบโต้ของเครมลินคราวนี้ระบุว่า จะระงับการขายน้ำมันดิบให้ประเทศที่เข้าร่วมมาตรการจำกัดราคา ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์จนถึงวันที่ 1 กรกฎาคมปีหน้า ส่วนการแบนน้ำมันกลั่น เช่น เบนซินและดีเซลนั้น รัฐบาลรัสเซียจะกำหนดวันบังคับใช้ต่อไป โดยที่ปูตินมีอำนาจระงับการใช้มาตรการเช่นนี้ในกรณีใดๆ ก็ได้
ทั้งนี้ รัสเซียเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก รองจากซาอุดีอาระเบีย ดังนั้น การระงับไม่ให้ขายน้ำมันแดนหมีขาวไปเลย จะส่งผลกระทบกว้างขวางต่อซัปพลายพลังงานทั่วโลก
สำหรับสถานการณ์การสู้รบ กองเสนาธิการใหญ่ของกองทัพยูเครนระบุในรายงานเมื่อเช้าวันพุธ (28) ว่า กองกำลังรัสเซียยิงขีปนาวุธ 33 ลูกจากเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้อง ตลอดจนยิงปืนใหญ่ และปืนครก โจมตีเป้าหมายพลเรือนในเขตที่อยู่อาศัยทางฝั่งขวาของแม่น้ำดนิโปรใกล้ๆ เมืองเคียร์ซอนช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ทว่า รัสเซียปฏิเสธว่า ไม่ได้โจมตีพลเรือน ขณะที่รอยเตอร์บอกว่าไม่สามารถตรวจสอบพิสูจน์รายงานชิ้นนี้ได้ในเฉพาะหน้านี้
นอกจากนั้น การสู้รบหนักยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่องที่บริเวณรอบๆ เมืองบัคมุต ซึ่งเป็นศูนย์คมนาคมสำคัญในแคว้นโดเนตสก์ ทางภาคตะวันออกของยูเครน เมืองนี้ยังคงอยู่ในการควบคุมของฝ่ายเคียฟ ทว่าตัวเมืองอยู่ในสภาพย่อยยับจากการสู้รบที่ดำเนินมาหลายเดือน นอกจากนั้น ยังมีการรบหนักบริเวณเหนือขึ้นไปจากบัคมุต นั่นคือรอบๆ เมืองสวาโตเว และเมืองเครมินนา ในแคว้นลูฮันสก์ ซึ่งกองกำลังยูเครนพยายามเจาะทะลุแนวป้องกันฝ่ายรัสเซีย
ด้านกระทรวงกลาโหมอังกฤษ ซึ่งมีจุดยืนหนุนหลังยูเครนอย่างเปิดเผย ระบุในรายงานสถานการณ์ทางทหารในยูเครนฉบับอัปเดตล่าสุดของตนว่า รัสเซียน่าที่จะเสริมกำลังทหารในแนวหน้าบริเวณเมืองเครมินนา ซึ่งมีความสำคัญทางการส่งกำลังบำรุงสำหรับฝ่ายนั้น และอยู่ในสภาพที่ค่อนข้าอ่อนแอลงภายหลังฝ่ายยูเครนรุกคืบไปทางตะวันตก
ขณะที่ โอเลห์ ดานอฟ นักวิเคราะห์ทางการทหารของยูเครน ระบุว่า สถานการณ์ในแนวหน้ามีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก แต่มีความกดดันมากขึ้นจากรัสเซียทั้งในแง่กำลังพล รวมทั้งประเภทและจำนวนอาวุธ และเสริมว่า ขณะนี้รัสเซียระดมโจมตีด้วยยานยนต์หุ้มเกราะ และรถถังเพิ่มขึ้น
ในระหว่างการปราศรัยทางออนไลน์เมื่อคืนวันอังคาร อย่างที่เขาทำอยู่ทุกคืน ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี กล่าวว่า ได้ประชุมกับผู้บัญชาการทางทหารและกำหนดขั้นตอนดำเนินการสำหรับอนาคตอันใกล้ โดยยูเครนจะเตรียมพร้อมกองทัพและกองกำลังความมั่นคงสำหรับปีหน้า
นอกจากนั้น เวลานี้ เซเลนสกี ยังกำลังพยายามผลักดันแผนการสันติภาพ 10 ข้อของฝ่ายตน โดยแผนการนี้มีทั้งการเรียกร้องให้รัสเซียต้องเคารพบูรณาภาพแห่งดินแดนของยูเครน และถอนทหารออกไป
แต่ ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกของเครมลิน แถลงในวันพุธ ปฏิเสธแผนการนี้ พร้อมกับย้ำจุดยืนเดิมของรัสเซีย นั่นคือเคียฟต้องยอมรับการผนวกแหลมไครเมีย และดินแดน 4 แคว้นทางภาคตะวันออกและภาคใต้ของยูเครนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย
ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างยืนยันจุดยืนเช่นนี้ของฝ่ายตนมาระยะหนึ่งแล้ว
(ที่มา : รอยเตอร์, เอเอฟพี)