จีนประกาศในวันพุธ (7 ธ.ค.) ผ่อนคลายกฎระเบียบมุ่งเข้มงวดสกัดโรคโควิดทั่วประเทศที่จุดชนวนการประท้วงใหญ่เมื่อเร็วๆ นี้ รวมทั้งขัดขวางการขยายตัวทางเศรษฐกิจของแดนมังกร ซึ่งส่งผลพวงต่อเนื่องกระทบต่อทั่วโลก ถือเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนที่สุดว่า ปักกิ่งกำลังเตรียมพร้อมประชาชนอยู่ร่วมกับไวรัส
ภายใต้แนวทางใหม่ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา จะมีการลดความถี่และขอบเขตการตรวจโควิดแบบพีซีอาร์ รวมทั้งจำกัดมาตรการล็อกดาวน์ให้เหลือแค่ขนาดพื้นที่น้อยที่สุดเท่าที่มีเหตุผลความจำเป็นจริงๆ อีกทั้งเจ้าหน้าที่ต้องยกเลิกการล็อกดาวน์หลังจากพื้นที่ดังกล่าวไม่พบผู้ติดเชื้อติดต่อกัน 5 วัน
สำหรับผู้ป่วยโควิดที่ไม่แสดงอาการ หรือมีอาการไม่รุนแรง สามารถกักตัวที่บ้านเองได้ และประชาชนไม่จำเป็นต้องแสดงรหัสสุขภาพสีเขียวบนมือถือเพื่อเข้าสู่อาคารหรือพื้นที่สาธารณะอีกต่อไป ยกเว้นสถานพักฟื้นผู้สูงวัย สถานพยาบาล โรงเรียนอนุบาลและโรงเรียนมัธยม
คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (เอ็นเอชซี) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่แถลงการเปลี่ยนแปลงนี้เมื่อวันพุธ (7) เสริมว่า จะเร่งฉีดวัคซีนผู้สูงวัย ซึ่งที่ผ่านมาถูกมองว่า เป็นอุปสรรคสำคัญขัดขวางการผ่อนคลายนโยบายโควิดเป็นศูนย์
ทั้งนี้ ปักกิ่งประกาศว่า กฎระเบียบใหม่มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการป้องกันและควบคุมโรคระบาดปัจจุบัน
การเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่เอ็นเอชซีประกาศล่าสุด สอดรับกับความเคลื่อนไหวของเมืองใหญ่จำนวนมากที่ทยอยผ่อนกฎสกัดโควิดในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ภายหลังเหตุการณ์ประท้วงต่อต้านมาตรการควบคุมโรคระบาดทั่วประเทศเมื่อเดือนที่แล้วที่ลุกลามกลายเป็นการเรียกร้องเสรีภาพทางการเมืองและบางคนถึงขั้นเรียกร้องให้สีลาออก และถือเป็นการประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดนับจากที่สีเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2012
ข่าวการเปลี่ยนแปลงสำคัญครั้งนี้กลายเป็นประเด็นที่มีผู้เข้าชมสูงสุดบนแพลตฟอร์มสื่อสังคมเว่ยปั๋ว โดยผู้ใช้จำนวนมากหวังว่า จีนจะกลับคืนสู่สถานการณ์ปกติหลังจากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาหลายพื้นที่ต้องผ่านมาตรการล็อกดาวน์อันยาวเหยียดกินเวลาหลายสัปดาห์มาหลายรอบ และทำให้คนหลายสิบล้านนอกจากเผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นอยู่แล้ว ยังมีปัญหาสภาพจิตใจอีกด้วย
ผู้ใช้คนหนึ่งโพสต์ว่า ถึงเวลาที่จะกลับไปใช้ชีวิตปกติ และถึงเวลาที่จีนจะเปิดรับโลกภายนอกอีกครั้ง
นักลงทุนบางคนยินดีกับการเปลี่ยนแปลงนี้และคาดหวังว่า จะช่วยชุบชีวิตเศรษฐกิจจีนและค่าเงินหยวน
พวกนักวิจัยของสถาบันโนมูระ คาดการณ์เอาไว้ว่า เศรษฐกิจจีนจะสามารถฟื้นขึ้นมาได้ในปีหน้า โดยเป็นผลจากการผ่อนคลายนโยบายโควิดเป็นศูนย์ แต่ก็เตือนว่า ดูเหมือนจีนไม่ได้เตรียมพร้อมดีนักในการรับมือกับคลื่นการระบาดใหญ่ระลอกใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นมาได้ และอาจต้องจ่ายต้นทุนแพงทีเดียวสำหรับการผัดวันประกันพรุ่งในการยอมรับแนวทางการอยู่ร่วมกับโควิด
ขณะที่ จือเว่ย จาง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของพินพอยต์ แอสเส็ต แมเนจเมนต์ แสดงความเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญ และคาดว่า จีนจะเปิดประเทศอย่างเต็มที่อีกครั้งไม่เกินกลางปีหน้า
ด้านธุรกิจต่างชาติในจีนหวังเช่นกันว่า ความเคลื่อนไหวนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญและนำไปสู่การผ่อนคลายกฎการเดินทาง
ทว่า เกี่ยวกับประเด็นนี้ หมี่ เฟิง โฆษกเอ็นเอชซีแถลงว่า การเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการเดินทางจะดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป
นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่จีนยังไม่เชื่อมโยงการเปลี่ยนแปลงล่าสุดกับการประท้วงใหญ่ต่อต้านมาตรการโควิดเป็นศูนย์เมื่อเดือนที่แล้ว แต่ใช้น้ำเสียงอ่อนลงเกี่ยวกับความเสี่ยงต่อสุขภาพจากไวรัส ซึ่งเท่ากับเป็นการนำจีนเข้าใกล้สิ่งที่ประเทศอื่นๆ พูดกันมากว่าปีเกี่ยวกับการยกเลิกข้อจำกัดและเปลี่ยนนโยบายสู่การอยู่ร่วมกับไวรัส
เช่นเดียวกับสื่อของทางการปักกิ่ง ซึ่งที่ผ่านมาเคยประโคมข่าวอันตรายของไวรัสและสถานการณ์การระบาดที่อลหม่านวุ่นวายในประเทศต่างๆ ในขณะนี้กลับแสดงท่าทีสนับสนุนการผ่อนคลายนโยบายโควิดเป็นศูนย์
(ที่มา: เอเอฟพี, รอยเตอร์)