อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งเจ้าของ “ทวิตเตอร์” บอกกับบรรดาพนักงานวานนี้ (10 พ.ย.) ว่า ทวิตเตอร์อาจสูญเสียรายได้นับพันๆ ล้านดอลลาร์ในปีหน้า และมีความเสี่ยง “ล้มละลาย” หากไม่สามารถหารายได้เพิ่ม
มัสก์ ซึ่งเข้าซื้อกิจการทวิตเตอร์ด้วยวงเงิน 44,000 ล้านดอลลาร์ไปเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ได้มีการเรียกประชุมพนักงานทั้งบริษัทเมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (10) โดยระบุว่า ทวิตเตอร์มีแนวโน้มที่จะสูญเสียรายได้อีกหลายพันล้านดอลลาร์ในปีหน้า และ “การล้มละลายใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
ก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมง มัสก์ ได้ส่งอีเมลเตือนพนักงานว่า บริษัทกำลังเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบาก และ “อาจจะไม่สามารถอยู่รอดได้” ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่กำลังจะมาถึง หากยังไม่สามารถสร้างรายได้เพิ่มจากระบบ subscription เพื่อมาทดแทนค่าโฆษณาที่หดหายไป
มัสก์ ยังยกเลิกนโยบายให้พนักงานทวิตเตอร์ทำงานจากที่ใดก็ได้ (work-from-anywhere policy) และกำหนดให้พนักงานทุกคนต้องเข้าออฟฟิศไม่ต่ำกว่า 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งถ้าหากใครทำไม่ได้ก็ขอให้ “ยื่นใบลาออก”
เมื่อต้นสัปดาห์นี้ มัสก์ ได้เทขายหุ้นเทสลามูลค่าเกือบ 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตัวเขาเองยอมรับวานนี้ (10) ว่าทำไปเพื่อ “อุ้ม” ทวิตเตอร์ ตามรายงานของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส
ยิ่งไปกว่านั้น มีรายงานว่าผู้บริหารระดับสูงของทวิตเตอร์ลาออกเพิ่มเติมอีกหลายคน ได้แก่ โยเอล รอธ (Yoel Roth) หัวหน้าฝ่ายความปลอดภัยซึ่งดูแลเรื่องสแปม ข้อมูลบิดเบือน และการใช้ถ้อยคำเกลียดชังบนแพลตฟอร์ม เลอา คิสเนอร์ (Lea Kissner) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายความปลอดภัยข้อมูล ดาเมียน คีแรน (Damien Kieran) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายความเป็นส่วนตัว และมาเรียนน์ โฟการ์ตี (Marienne Fogarty) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติ ขณะที่ โรบิน วีลเลอร์ (Robin Wheeler) หัวหน้าฝ่ายขายโฆษณา ยืนยันว่าตัวเธอเอง “ยังอยู่” กับทวิตเตอร์ หลังมีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้านี้ว่าเธอเองก็จะลาออกเช่นกัน
มัสก์ ยอมรับว่า อนาคตของทวิตเตอร์ขึ้นอยู่กับความสำเร็จของระบบยืนยันตัวตน Twitter Blue ซึ่งในสัปดาห์นี้ทวิตเตอร์ได้เริ่มใช้นโยบายเรียกเก็บเงิน 8 ดอลลาร์ต่อเดือนสำหรับบัญชีผู้ใช้ที่ต้องการยืนยันตัวตนด้วย “เครื่องหมายถูกสีฟ้า” แต่นโยบายนี้สร้างความปั่นป่วนขึ้นทันที เพราะปรากฏว่ามีคนจำนวนมากเข้าไปสมัครใช้งานเพื่อสร้างบัญชีปลอมสวมรอยเป็นคนดัง
ที่มา : Market Watch, รอยเตอร์