นักข่าวสายราชวงศ์เผย “เจ้าชายจอร์จ” พระโอรสองค์โตชันษา 9 ปี ของเจ้าชายวิลเลียม เคยตรัสขู่พระสหายว่า “พ่อเราจะเป็นกษัตริย์นะ ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ”
เคที นิโคลล์ (Katie Nicholl) นักข่าวสายรายวงศ์ของอังกฤษ ได้เขียนเล่าไว้ในหนังสือเล่มใหม่ของเธอที่ชื่อ ‘The New Royals : Queen Elizabeth’s Legacy and the Future of the Crown’ ซึ่งมีกำหนดวางแผงในวันที่ 4 ต.ค.นี้ว่า พระโอรสองค์โตของเจ้าชายวิลเลียม และ เคต มิดเดิลตัน เคยตรัสกับพระสหายร่วมชั้นเรียนให้ “ระวังตัว” เพราะพระบิดาของพระองค์กำลังจะได้เป็นกษัตริย์ในอีกไม่ช้า
“เจ้าชายจอร์จทรงเข้าใจว่าวันหนึ่งพระองค์จะได้เป็นกษัตริย์แน่ และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทรงพยายามเอาชนะพระสหายซึ่งทะเลาะกันที่โรงเรียน โดยตรัสประโยคเด็ดออกมาว่า ‘พ่อเราจะเป็นกษัตริย์นะ เธอระวังตัวให้ดีเถอะ (My dad will be king, so you better watch out.)”
ผู้สื่อข่าวรายนี้ยังบอกด้วยว่า เจ้าหญิงชาร์ล็อตต์ ชันษา 7 ปี และเจ้าชายหลุยส์ ชันษา 4 ปี ทรงได้รับการอบรมจากพระบิดาและพระมารดาให้เข้าใจถึงบทบาทของราชวงศ์ รวมถึงการทำงานเพื่อรับใช้ประชาชน
“ทั้งสองพระองค์ทรงเลี้ยงดูพระโอรส-ธิดา โดยเฉพาะเจ้าชายจอร์จ ให้มีความตระหนักว่าทรงเป็นใคร และมีบทบาทหน้าที่ที่จะต้องสืบทอดอย่างไร แต่ไม่ได้ทรงกดดันให้พวกเขาต้องสำนึกในหน้าที่มากมายเกินไปนัก” นิโคลล์ ระบุ
หลังจากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 8 ก.ย.ที่ผ่านมา สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ได้ทรงขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์อังกฤษพระองค์ใหม่ และเจ้าชายวิลเลียมในฐานะพระราชโอรสองค์โต ได้เลื่อนชั้นขึ้นมาเป็น “รัชทายาทลำดับที่ 1” ด้วย
โรเบิร์ต เลซีย์ (Robert Lacey) นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ เคยเขียนไว้ในหนังสือ ‘Battle of Brothers’ ที่วางจำหน่ายในปี 2020 ว่า เจ้าหญิงเคตและเจ้าชายวิลเลียมทรงรอคอยเวลาที่เหมาะสมเพื่อที่จะบอกเจ้าชายจอร์จให้ตระหนักถึงสถานะ “ว่าที่กษัตริย์” ในอนาคต และทรงตัดสินพระทัยพูดเรื่องนี้กับพระโอรสในช่วงวันคล้ายวันประสูติปีที่ 7 ของเจ้าชายจอร์จในปี 2020
เลซีย์ ระบุด้วยว่า ทั้ง 2 พระองค์ทรงต้องการให้เจ้าชายจอร์จได้มีโอกาส “เติบโตเหมือนเด็กทั่วไป” นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก่อนจะเริ่มปลูกฝังให้เจ้าชายน้อยทรงรู้จักหน้าที่และการอุทิศตนรับใช้ประชาชนในภายภาคหน้า นอกจากนี้ เจ้าชายวิลเลียมยังทรงหวังให้สถาบันกษัตริย์ปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย และตอบโจทก์ความต้องการของสังคมอังกฤษได้
ที่มา : New York Post