บรรดาผู้ประท้วงนับหมื่นคนเดินขบวนบนท้องถนนในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เมื่อวันพุธ (21 ก.ย.) เนื่องใน "วันลงมือทำแห่งชาติ" เรียกร้องขอขึ้นค่าแรงและฉุดราคาพลังงานให้ลดต่ำลง ท่ามกลางบิลค่าใช้จ่ายที่พุ่งทะยาน
ตำรวจระบุว่า มีประชาชนมากกว่า 10,000 คน ไหลบ่าสู่ท้องถนนในเมืองหลวงเบลเยียม ในขณะที่มีการเปิดเผยว่ามีพลเมืองของประเทศแห่งนี้ราวๆ 64% ที่เกรงว่าตนเองจะไม่มีเงินมาชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ ของพวกเขา ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อ
การประท้วงครั้งนี้มีสหภาพแรงงานเบลเยียมเป็นแกนนำ โดยทางสหภาพอ้างว่าบิลค่าไฟเฉลี่ยต่อครอบครัวในประเทศแห่งนี้ได้เพิ่มขึ้นมากว่า 3 เท่า เป็นมากกว่า 700 ยูโร (25,700 บาท) ต่อเดือนต่อครัวเรือน ในขณะที่ครอบครัวเบลเยียมมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 2,500 ยูโร (ประมาณ 91,000 บาท)
"ไม่ใช่เราไม่ต้องการจ่าย แต่เราไม่สามารถจ่ายได้" เทียร์รี บอดสัน ประธานสหภาพแรงงาน General Labor Federation of Belgium กล่าวกับบรรดาผู้ชุมนุมหลายพันคนที่บริเวณจัตุรัส Place de la Monnaie พร้อมชี้ว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับบางคน ที่มีรายได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยจะมีเงินเพียงพอที่จะชำระบิลต่างๆ ของพวกเขา
ในประเด็นที่รัฐบาลมีคำแนะนำให้ประชาชนใช้พลังงานน้อยลง บอดสัน กล่าวว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะว่าชาวเบลเยียมส่วนใหญ่ได้ใช้ทุกมาตรการที่เป็นไปได้อยู่ก่อนแล้ว เพื่อลดการบริโภคพลังงาน แต่มันยังไม่เพียงพอ
ป้ายข้อความประท้วงบางส่วนในผู้ชุมนุม สะท้อนความรู้สึกของ บอดสัน ได้เป็นอย่างดี บางป้ายเขียนข้อความว่า "ตรึงราคา ไม่ใช่ตรึงประชาชน" และ "ทุกอย่างกำลังสูงขึ้น ยกเว้นค่าแรงของเรา"
บรรดาผู้ประท้วงเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่เบลเยียมดำเนินการมากกว่าที่เป็นอยู่เพื่อสกัดราคาที่พุ่งทะยาน และอ้างว่าพวกเขาควรดึงเงินทุนมาจากบรรดาบริษัทพลังงานทั้งหลาย ที่รายงานผลประกอบการสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ และทำเงินหลายพันล้านยูโร ในขณะที่มาตรฐานการครองชีพของประชาชนทั่วไปกำลังดำดิ่ง
เมื่อเดือนที่แล้ว สำนักงานสถิติแห่งชาติเบลเยียม รายงานว่า อัตราเงินเฟ้อของประเทศพุ่งทะยานแตะระดับ 9.94% ท่ามกลางราคาพลังงานที่พุ่งสูง เกือบเท่าสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในปี 1976
อาเล็กซันเดอร์ เดอ โกร นายกรัฐมนตรีเบลเยียม เตือนว่า "ในฤดูหนาวในอีก 5 ถึง 10 ปีข้างหน้า จะเป็นฤดูหนาวที่ยากลำบาก" สืบเนื่องจากราคาก๊าซพุ่งสูง แต่เขาเน้นว่าเบลเยียมจะทนทานต่อวิกฤต "หากว่าเราสนับสนุนซึ่งกันและกันในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้"
(ที่มา : อาร์ทีนิวส์)