ราคาน้ำมันขยับขึ้นในวันอังคาร (7 มิ.ย.) จากความกังวลทางอุปทาน ในนั้นรวมถึงยังไม่เห็นพ้องอิหร่านรื้อฟื้นข้อตกลงนิวเคลียร์และแนวโน้มอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในจีน ส่วนวอลล์สตรีทปิดบวกได้แรงหนุนจากกลุ่มพลังงาน และจับตาข้อมูลราคาผู้บริโภค ขณะที่ทองคำปรับขึ้น
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้น 91 เซนต์ ปิดที่ 119.41 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้น 1.06 ดอลลาร์ ปิดที่ 120.57 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นักลงทุนจับตาข้อมูลปิโตรเลียมสำรองของสหรัฐฯ ที่มีกำหนดเผยแพร่ในช่วงกลางสัปดาห์ ในขณะที่พวกนักวิเคราะห์คาดหมายว่า สต๊อกน้ำมันดิบจะลดลงอีกในสัปดาห์นี้ บ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่ยังแข็งแกร่ง
สหรัฐฯ บอกว่าข้อเรียกร้องของอิหร่านสำหรับยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรกำลังเป็นตัวขัดขวางกระบวนการรื้อฟื้นข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 ซึ่งพวกนักวิเคราะห์ระบุว่าการบรรลุข้อตกลงใดๆ น่าจะเพิ่มเติมอุปทานน้ำมันดิบสู่ตลาดโลกราวๆ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากความคาดหมายอุปสงค์ฟื้นตัวในจีน หลังกรุงปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ ศูนย์กลางทางพาณิชย์กำลังคืนสู่ภาวะปกติ หลังจากก่อนหน้านี้ต้องอยู่ในภาวะล็อกดาวน์มานานกว่า 2 เดือน
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกในวันอังคาร (7 มิ.ย.) ขยับขึ้นเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน ได้แรงหนุนจากกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันพุ่งสูง ในขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลราคาผู้บริโภคที่มีกำหนดเผยแพร่ในวันศุกร์ (10 มิ.ย.)
ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 264.36 จุด (0.08 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 33,180.14 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 39.25 จุด (0.95 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,160.68 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 113.86 จุด (0.94 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 12,175.23 จุด
นักลงทุนจับตาดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในวันศุกร์นี้ หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว
นอกจากนี้ ตลาดจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 14-15 มิ.ย. โดยคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมดังกล่าว รวมทั้งในการประชุมเดือน ก.ค.เพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ส่วนราคาทองคำในวันอังคาร (7 มิ.ย.) ปิดในแดนบวก หลังดอลลาร์อ่อนค่าลง โดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้น 8.40 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,852.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์
(ที่มา : รอยเตอร์)
